ผู้เขียน หัวข้อ: สมัยที่หนังยังเป็นมหรสพยอดนิยมอันดับหนึ่งในงานประจำปีของวัดหรือสถานที่สำคัญต่างๆ  (อ่าน 99 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
          สมัยก่อน.. สมัยที่หนังยังเป็นมหรสพยอดนิยมอันดับหนึ่ง ในงานประจำปีของวัด หรือของสถานที่สำคัญต่างๆ หรือในงานประจำจังหวัด ก็จะมีบริการฉายหนังไปตั้งวิกฉายหนังเก็บสตางค์เหมือนๆ กับภาพนี้ แต่หนังที่ฉายนั้นก็จะเป็นหนังใหม่ๆ ใหม่แบบว่า บางครั้งก็หิ้วหนังไปจากกรุงเทพฯ ฉายก่อนโรงในจังหวัดนั้นๆ ด้วยก็มี

          แต่การจะไปปิดวิกฉายหนังเก็บสตางค์แบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นะครับ งานใหญ่ๆ แบบนี้ คณะผู้จัดงานฯ เขาจะผลักภาระ ผลักพื้นที่การจัดงานทั้งหมดไปให้ผู้ที่ประมูลงานได้ ไปดำเนินการจัดงานแทน (เพื่อป้องกันการขาดทุน) ผู้ที่ประมูลได้ เขาก็ต้องคิดว่า จะทำยังไง ถึงจะมีกำไร ฉะนั้น อะไรที่ไม่ก่อให้เกิดกำไร ก็แทบจะไม่มีให้เห็นในพื้นที่จัดงานเลยเพราะพื้นที่ทุกๆ ตารางเมตรนั้น จะต้องเรียกทุนกลับคืนให้ได้ก่อน

          สมัยนั้น หนังกลางแปลงที่จะไปปิดวิกฉายหนังแบบนี้ เขาก็รู้ครับ แต่เพราะสมัยนั้น คนยังนิยมดูหนังเพราะหนังเป็นความบันเทิงราคาถูก ถูกกว่าเสียเงินดูวงดนตรีใหญ่ๆ.. หนังจึงยังพอมีรายได้เลี้ยงตัวเองกับงานแบบนี้ได้ แต่ปัจจุบัน ใครขืนไปปิดวิกฉายหนังแบบนี้ ผมว่า รอดยากครับ..

          ไม่มีหนังกลางแปลงเก็บสตางค์.. แล้วหนังกลางแปลงแบบฉายให้ดูฟรีๆ จะมีไหมครับ.. ก็ยกตัวอย่าง งานช้างสุรินทร์บ้านผม.. ขนาดสมัยที่ผมยังเรียนชั้นมัธยม หลายสิบปีมาแล้ว ผมก็ยังเห็นเป็นหนังขายยามาฉายเลยครับ.. ถ้าฉายหนังใหม่ๆ คนก็ยังพอหยุดๆ ดูบ้าง แต่งานใหญ่ๆ แบบนี้ ไม่มีใครจะมาหยุดดูหนังกลางแปลงเป็นเรื่องเป็นราวหรอกครับ เขาก็ต้องเดินๆ ดูๆ ไปให้ทั่วงานนั่นแหละ ต่อมาพอเห็นว่า คนดูหนังกลางแปลงน้อยลงเรื่อยๆ หนังก็แทบจะไม่มาฉายกันอีกเลย

          เมื่อสัก 3-4 ปีมานี้ ผมเคยไปเดินๆ ดูงานองค์พระปฐมเจดีย์ นครปฐม ก็ลองเดินหาดูจอหนังกลางแปลงว่า จะมีไหม.. ก็เห็นว่ามีอยู่ แต่อยู่แบบเงียบเหงา จอธรรมดา ไม่เน้นอะไร พอถามคนฉายหนังแล้ว เขาบอกว่า เขาจะต้องฉายดึกหน่อย รอให้ดนตรีเลิกก่อน.. และก็ยังเห็นหนังขายยาบริษัทดังมาฉายด้วย น่าจะเป็นการฉายเพื่อการประชาสัมพันธ์มากกว่า แต่ดูๆ ไป หนังที่มาฉายในงาน ก็เหมือนเป็นแค่ไม้ประดับในงานเท่านั้น..

          สมัยนั้น หนัง-ลิเก-ดนตรี.. จะมีให้เราเห็นในงานใหญ่ๆ ตลอด ต่อมาลิเกก็ค่อยๆ หายไป.. และก็ตามมาด้วย หนัง.. ครับ


"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..