ผู้เขียน หัวข้อ: สิงห์ล่าสิงห์ หนังดังเมื่อปี 2507 นับมาจนถึงวันนี้ปี 2566 ก็ยังหาฟิล์มไม่พบ  (อ่าน 46 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2809
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
    สิงห์ล่าสิงห์ หนังดังเมื่อปี 2507 นับมาจนถึงวันนี้ปี 2566 ก็ยังหาฟิล์มสักเฟรมไม่พบ.. เพราะอะไร?

    จุดขายของหนังเรื่องนี้ ก็คือ การนำพระเอกดัง 2 ท่านคือ มิตร ชัยบัญชา กับ สมบัติ เมทะนี มาแสดงประกบกันเป็นครั้งแรก

    สิงห์ล่าสิงห์ เป็นหนังที่ถ่ายด้วยฟิล์ม 16 มม. เวลาฉาย ก็จะพากย์กันสดๆ สมัยนั้น เมื่อผู้สร้าง สร้างหนังเสร็จ ก็จะขายฟิล์มให้สายหนังไปจัดจำหน่ายกันเอง ตอนขายหนัง ก็ยังไม่มีใครรู้หรอกว่า หนังจะดังหรือไม่ดัง ต้องเสี่ยงกันทั้งผู้สร้างและสายหนังที่ซื้อไปจัดจำหน่าย ดังนั้น เมื่อขายสายหนังไปแล้ว ผู้สร้างก็จะไม่มีฟิล์มหนังอยู่ที่ตนเองเลย 

    คราวนี้ ก็เป็นเรื่องของสายผู้จัดจำหน่ายว่า จะนำฟิล์ม 16 มม. ที่ได้รับมานั้น ไปพิมพ์ซ้ำขึ้นอีกกี่ชุด แรกๆ ก็ต้องดูก่อน หนังไปได้แค่ไหน ถ้าไปได้ดี ก็ตัดสินใจง่ายหน่อย แต่ถ้าไม่ค่อยไว้ ก็จะไม่พิมพ์ฟิล์มเพิ่ม

    แล้วจากหนังโรงใหญ่ๆ ไปสู่โรงตามอำเภอ ไปสู่หนังกลางแปลง หนังขายยา แม้ว่า สิงห์ล่าสิงห์ จะเป็นหนังดังมากๆ ในปี 2507 เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ หนังก็ต้องตกรุ่นและก็กลายเป็นหนังเก่าๆ ที่ต่อมาแทบจะฉายแล้ว ไม่มีคนอยากดู เพราะอยากดูแต่หนังใหม่ๆ และโดยหลักแล้ว ไม่มีใครอยากจะถือฟิล์มหนังเก่าๆ ไว้ ถ้าปล่อยขายได้ ก็จะปล่อยทันที ไม่มีใครรู้อนาคตหรอกว่า จะเกิดระบบวีดีโอเทปหรืออะไรที่คล้ายๆ การฉายหนังขึ้นมา ทีนี้แหละ ก็ต้องมาลุ้นว่า คนฉายหนังคนสุดท้าย เขาจะยังเก็บฟิล์มไว้หรือจะทิ้งมันไป

    สมัยที่ คุณโต๊ะ พันธมิตร ทำวีซีดีหนังมิตร ชัยบัญชา ออกจำหน่าย ก็เคยไปพบคุณนำดี วิตตะ ผู้สร้างหนังเรื่องนี้ เพื่อสอบถามหาฟิล์มหนังเรื่อง สิงห์ล่าสิงห์ พอรู้คำตอบ ก็เริ่มรู้แล้วว่า ยากแล้วที่จะเราตามพบฟิล์ม สิงห์ล่าสิงห์..

    แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง ที่คุณโต๊ะ พันธมิตรกับผม ไปหาฟิล์มหนังไทยเก่าๆ ที่อำเภอสังขะ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งสมัยก่อนนั้นถือว่า เป็นท้องถิ่นที่ธุรกันดารมากๆ ติดชายแดนเขมร ไปก็เพราะมีคนให้ข่าวว่า มีลุงคนหนึ่งเคยฉายหนังมิตรเรื่อง สิงห์ล่าสิงห์ ที่นั่น

    พวกเราก็ตามไป สืบหาจนพบลุง พบบ้าน.. ลุงก็เล่าให้ฟังว่า ลุงเคยฉายหนังเรื่อง สิงห์ล่าสิงห์ แล้วก็พากย์เองด้วย.. ระหว่างที่ฟังลุงเล่าเรื่องนั้น สายตาของพวกเรา ก็เริ่มมองไปรอบๆ บ้าน เพื่อดูว่า จะยังมีฟิล์มหนังเก็บไว้ในบ้านหรือไม่

    ลุงก็บอกว่า เผาทิ้งไปหมดแล้ว พร้อมกับชี้ไปที่เวิ้งหน้าบ้าน.. เผาตรงนั้นแหละ พอถามว่า เผาทำไม.. ลุงก็บอกว่า ก็มันไม่มีใครดูแล้ว เอาไปฉายที่ไหน ก็ไม่มีใครเขาจะดู.. หนังมันเก่าแล้ว ฉายไป ก็โดนเขาโห่ เขาหาว่าเป็นหนังจอเล็กๆ ฉายเครื่องหลอด ไม่ทันสมัย ลูกเมียก็อายเขา บอกว่า อย่าไปฉายเลย แรกๆ ลุงก็ยังเก็บฟิล์มไว้ในบ้าน ต่อมาเมื่อจะปรับปรุงบ้าน ก็เลยเอาไปกองๆ แล้ว ก็เผาทิ้งมันตรงนั่นแหละ

   ได้ฟังลุงเล่าแบบนี้ ผมนี่เสียดายจริงๆ แต่ก็เข้าใจลุงคนฉายหนังกลางแปลงเพราะผมก็เคยฉายมาก่อน สมัยนั้นไม่มีใครอยากจะฉายหนังจอเล็กๆ จอ 16 มม. เครื่องหลอดกันหรอกครับ มันเชย มันไม่ทันสมัย ผมเองตอนเด็กๆ ก็เคยไปโห่คนพากย์ คนฉายหนัง 16 มม. เหมือนกัน.. อะไร เป่าปากเป็นเสียงปืน ไม่ทันสมัยเลย เพราะตอนนั้นหนัง 35 มม. เสียงในฟิล์ม จอใหญ่ๆ ใช้เตาอ๊าคฉายกันแล้ว หนังเขาเสียงหนังดัง ฟังชัด ส่วนหนัง 16 มม. ก็ยังใช้ปากเป่าทำเสียงปืน ใครๆ ก็โห่เพราะคิดว่า มันไม่คือ.. ลุงก็คงจะเบื่อและอายเขาจริงๆ นั่นแหละครับ

   วัฒนธรรมใหม่ๆ เกิดมา ก็เลยกลืนกินและฆ่าวัฒนธรรมเก่าๆ ไปโดยไม่รู้ตัว.. กว่าจะรู้ว่า อดีตก็มีความหมาย ทุกอย่างมันก็เลยสายเกินไป.. แหละที่ผมต้องทำอะไรเกี่ยวกับหนัง 16 มม.อยู่ทุกวันนี้ ก็คงเป็นเพราะต้องใช้กรรมให้กับหนัง 16 มม. นี่แหละครับ


"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..