เวบบอร์ดสำหรับผู้ชื่นชอบระบบการฉายภาพเคลื่อนไหว
ภาพยนตร์ของเรา...การฉายภาพด้วยแผ่นฟิล์ม => ภาพยนตร์ระบบฟิล์ม 35 มม. => ถาม-ตอบ และอื่นๆ ของระบบภาพยนตร์ 35 มม. => ข้อความที่เริ่มโดย: นายเค ที่ 10 พฤษภาคม 2012, 15:22:29
-
คนไทยสมัยก่อนช่วงปี 2500 กว่า ๆ คุ้นเคยกับหนังอินเดียตั้งแต่สมัยหนัง 16 มม ขาวดำ
ความบันเทิงเท่าที่หาได้ในยุคนั้นในกรุงหลัก ๆ ก็โรงหนัง ส่วนชนบท หนัง ลิเก สังเกตุได้ว่าคนไทยต่างจังหวัดชอบดูหนังอินเดียตามโรงหนังบ้านนอกและหนังกลางแปลง
นางเอกยอดฮิตยุคนั้นคือ นีรูปารอย มีนากุมารี พระเอกก็ ราช การ์ปู / ราช กุมาร / เมห์มูด ดาราตลก นางระบำยอดฮิตคือ เฮเลน ส่วนใหญ่จะเป็นหนังแนวเทพเจ้า ชีวิตเศร้าเคล้าน้ำตา
โรงหนังใน กรุงเทพฯที่ฉายหนังอินเดียเป็นหลักคือ โรงหนังเท็กซัส ( อยู่ถนนระหว่างเยาวราช เชื่อม เจริญกรุง ) สมัยนั้น หนังอินเดีย ได้รับความนิยมอย่างสูง ส่วนหนังจีนยังมีน้อย ผู้จัดจำหน่ายหนังอินเดียมีอาทิ อินเดียฟิล์ม ดีวันจันทร์ ซึ่งนายห้างปักหลักอยู่หลังเฉลิมกรุง ยุคนั้นมีหนังอินเดียเป็นโกดัง
ต่อมาหนังอินเดียมีการพัฒนาจากหนังขาวดำ มาเป็นหนังสีบางฉากบางตอน เช่น ฉากเพลง และ สีสวยตลอดทั้งเรื่อง หนังอินเดียที่สะกดอารมน์และบีบน้ำตาผู้ชมไดมากที่สุด คงไม่มีเรื่องใดเกิน “ธรณีกรรแสง” ( Mother India )
-
จนกระทั้งก้าวสูยุคหนัง 35 มม หนังอินเดียก็พัฒนาขึ้น ดาราดัง ๆ ยุคต่อมาที่แฟนชาวไทยนิยมชมชอบอาทิ ราเยส คานนา มุมตัส เฮมามาลินี เรียกว่าฮิตพอ ๆ กับ ดาราไทย มิตร เพชรา เลยทีเดียว หนังเรื่องไหนดาราคู่นี้แสดง คนดูไม่ต้องดูอย่างอื่น ควักสตังค์ตีตั๋วดูทันที
หนังอินเดียที่สร้างประวัติการณ์การฉายยาวนาน และทำรายได้ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัดมหาศาลคือ ช้างเพื่อนแก้ว ทำลายสถิติทุกแห่งที่ฉาย พระเอกเรื่องนี้คือ ราเยส คานนา นางเอกคือ ทานูจา แต่ที่เด่นมากคือบรรดาช้างแสนรู้ หนังเรื่องนี้ทำให้นักพากย์ฝีปากเอก ทิวา – ราตรี เจ้าของหนัง กลายเป็นมหาเศรษฐี
หนังอินเดียยุต 35 มม ปักหลักฉายที่โรงหนังควีนส์ วังบูรพา และ โรงหนัง บางกอก ย่านราชปรารภ หนังอินเดียดัง ๆ นั้น ถ้าออกเดินสายสามารถเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำ บางเรื่องก็นำเพลงอินเดียมาใส่เนื้อร้องไทย ที่ฮิตไปทั่วก็ ธรณีชีวิต ที่ได้นักร้องดังอย่าง ชาตรี ศรีชล และยุพิน แพรทอง มาร้องคู่กัน ได้ครูพงษ์ศักดิ์ จันทรุกขา เขียนเนื้อร้องไทย กลายเป็นเพลงอมตะ หรืออย่างเรื่อง รอยมลทิน ขายชีวิต ที่มุมตัส แสดงก็ให้ไพรวัลย์ ลูกเพชร ร้องเนื้อไทยกำหัวใจคนดูคนฟัง
เมื่อสังคมเศรษฐกิจแปรเปลี่ยน โรงฉายหนังแบบสแตนอโลน ( คือตั้งอยู่โดด ๆ ไม่อยู่ตามศูนย์การค้า ) ทะยอยปิดตัว ปรับตัว โรงหนังที่ฉายหนังอินเดียอย่าง เท็กซัส ควีนส์ ก็ต้องหยุดกิจการ .......
-
ครั้นถึงยุคโลกาภิวัตน์ หนังอินเดียพัฒนาไปมากทั้งเทคนิคการสร้าง การถ่ายทำ โปรดักชั่นที่มีมาตรฐาน จนกระทั้ง บอมเบย์ ฐานผลิตหนังอินเดียที่ใหญ่ที่สุด ได้ชื่อว่า BOLLYWOOD สามารถเปิดตลาดไปทั่วโลก ผู้สร้าง ผู้กำกับ ดารา ก้าวสู่ระดับอินเตอร์ หนังอินเดียบางเรื่องพูดภาษาอังกฤษ และคว้ารางวัลจากการประกวดระดับนานาชาติ
แต่...แต่....ทำไมหนังอินเดียที่เคยเป็นขวัญใจผู้ชมชาวไทย จึงลดน้อยไปจากตลาดไทย จนแทบไม่มีหนังอินเดียฉายตามโรงในรอบปกติ
ทว่า ...... หนังจีน หนังฝรั่ง พาเหรดเข้ายึดครองโรงหนังทั้งในกรุงและต่างจังหวัด รวมทั้งทีวีทุกช่อง ประเด็นที่ถือว่าเป็น ”จุดเปลี่ยน” ของตลาดหนังอินเดียในเมืองไทย คือเงื่อนไขเรื่อง “โรงฉาย” ไม่ว่าหนังชาติใด ในประเทศใด “ โรงฉาย “ ถือเป็นปัจจัยหลัก หนังจะดี จะทุ่มทุนสร้างขนาดไหน ถ้าไม่มีโรงฉายก็ไม่มีทางออก ยิ่งในยุคนั้นยังไม่มี ทีวีดาวเทียม เคเบิ้ลทีวี ยิ่งอินเตอร์เน็ต ไม่ต้องพูดถึงเลย แค่คิดก็ยังคิดไม่ถึง
-
“โรงหนัง” จึงเป็นปัจจัยหลักที่จะทำให้หนังต่าง ๆ ออกมาสู่สายตาผู้ชม รองลงมาคือ “ผู้จัดจำหน่าย“ และ “สายหนัง“ ผู้จัดจำหน่าย ก็คือ ผู้ที่ได้ลิขสิทธิ์ หนังเรื่องนั้น ๆ ในประเทศนั้น ๆ เช่น หนังฝรั่ง หนังจีน หนังญี่ปุ่น หนังอินเดียในเมืองไทย ใครจะได้ลิขสิทธิ์
ในช่วงปี 2510 เป็นต้นมา หนังจีนจากฮ่องกงค่ายชอว์บราเดอร์ เริ่มได้รับความนิยม ผู้ได้ลิขสิทธิ์ในเมืองไทยคือ ยูเนี่ยนโอเดียน มีออฟฟิชอยู่ที่โรงหนังนิวโอเดียน ปัจจุบันก็คือตรงวงเวียนโอเดียนที่มีประตูศิลปะจีนหัวถนนย่านเยาวราช โรงฉายหลักก็นิวโอเดียน
ส่วนหนังฝรั่งก็มีตัวแทนจากเมืองนอกมาจัดจำหน่าย ออฟฟิซอยู่ย่านสีลมที่เรียกว่า ”หนังตึก” กระจายหนังฉายหลายโรง อาทิ พาราเมาท์ เมโทร ย่านประตูน้ำ คิงส์ แกรนด์ ย่านวังบูรพา
-
หนังญี่ปุ่น ปักหลักฉายที่โรงหนังแคปปิตอล ผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่คือ แคปปิตอลฟิล์ม ดาราญี่ปุ่นยุคนั้นที่ดัง ๆ อาทิ โตชิโร มิฟูเน่ ( คู่บุญของยอดผู้กำกับ คูโรซาว่า แห่งเจ็ดเซียนซามูไร ) ดาราที่คอหนังชอบในลีลาการแสดงแบบยียวนกวนบาทาก็ต้องโย ชิชิโด / ถ้าแบบหล่อเนี๊ยบ ๆ ก็ต้อง อาคีระ โคบายาชิ ส่วนหนังไทยก็ฉายอยู่ เฉลิมกรุง เฉลิมบุรี เฉลิมไทย เฉลิมเขตต์ เอ็มไพร์
ต่อมามีโรงหนังใหม่เกิดขึ้นยุคโรงหนังสแตนอโลนเฟื่องฟู เช่น เพชรรามา ( ประตูน้ำ ) เอเธนส์ ( ราชเทวี ) โคลีเซี่ยม ( ยมราช ) และต่อมาย่านสยามสแควร์ โรงหนังขนาดใหญ่เกิดขึ้นโดยค่ายสยามมหรสพ คือ สยาม ลิโด สกาล่า ที่ฉายหนังคัดเกรด ทั้งที่ซื้อเองละหนังจากค่ายฝรั่ง และต่อมาได้ผนวกกิจการโรงหนังกับโรงค่ายฮอลลี้วู้ด โคลีเซี่ยม พาราเมาท์เป็นเครือพีรามิด ทำให้มีศักยภาพด้านการตลาดและอำนาจต่อรองมากขึ้น โรงหนัง ชานเมือง ส่วนใหญ่เป็นของค่าย พูนวรลักษณ์ เจ้าของโรง เพชรรามา แมคเคนน่า ( เชิงสะพานหัวช้าง ) และโรงที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า ”เพชร” อาทิ เพชรรามา เพชรเอ็มไพร์ แม้กระทั่ง เพชรพรานนก
-
โรงชานเมือง หรือที่เรียกว่าโรงหนังชั้นสองที่ดัง ๆ ในยุคนั้นอาทิ มงคลราม่า พหลโยธินรามา เฉลิมสิน ( ย่านสะพานควาย) โรงหนังชานเมืองดัง ๆ ในยุคนั้น ถือเป็น ”รายได้หลัก” ของหนังโรงรองลงมาจากโรงใหญ่ ถือเป็นเส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงที่สำคัญเช่นกัน
ที่ยกเรื่องโรงหนังชั้นหนึ่ง และโรงหนังชั้นสอง มากล่าวก็เพื่อให้เห็นภาพรวมของ ”ธุรกิจ” โรงหนังในกรุงเทพฯ ว่าอยู่ในวงจำกัดของไม่กี่ตระกูล และค่อย ๆ ผนวกรวมกันเหลือเพียงไม่กี่เจ้า
“ผู้จัดจำหน่าย” หนังชาติต่าง ๆ มีการแข่งขันและพัฒนาด้านการตลาดอย่างต่อเนื่อง ยกเว้นหนังอินเดียที่อยู่ในวงแคบและมักเป็นธุรกิจของชาวอินเดียและคนในวงในเช่น เคยพากย์หนังอินเดียมาก่อน รูปแบบธุรกิจก็แบบสไตล์นายห้างอินเดีย
ส่วน ”สายหนัง” ที่ทำด้านซื้อหนังออกฉายต่างจังหวัด ในยุคที่หนังอินเดียเฟื่องฟูก็พอไปได้ แต่ก็ต้องรับภาระด้านค่าพากย์ที่ต้องใช้ชายจริง หญิงแท้ เนื่องจากหนังอินเดียมีบทเจรจาของผู้หญิงมาก ผิดกับหนังฝรั่งใช้นักพากย์ชายเป็นหลัก ถ้าเป็นโรงใหญ่จึงจะใช้ชายจริง หญิงแท้ แต่ถ้าโรงหนังบ้านนอกนักพากย์ชายคนเดียวพากทั้งพระเอก นางเอก เพื่อนพระเอก เพื่อนนางเอก นางอิจฉา ยันพ่อตาแม่ยาย…
-
เมื่อหนังอินเดียบูมสุด ๆ ตอนช้างเพื่อนแก้ว (หนังอินเดีย) สายหนังก็ได้แต่มองตาปริบ ๆ เพราะเรื่องนี้ทีแรกสายหนังไม่ได้ซื้อ พอหนังเข้าฉายทำรายได้ถล่มทลาย ทางผู้เป็นเจ้าของจึงนำออกเดินสายเอง
สายหนังต่างจังหวัดรายใหญ่สมัยก่อน จะซื้อหนังไทยเป็นหลัก ส่วนหนังอินเดีย จะมีสายหนังรายย่อยที่น้อยพาวเวอร์รับไป เมื่อออกเร่ฉายก็ไม่มีอำนาจต่อรองเรื่องโรงฉาย วันฉาย รวมทั้งส่วนแบ่งรายได้
เมื่อการตลาด การโปรโมทโดยภาพรวมหนังอินเดีย ขาดช่วงขาดงบขาดการกระตุ้นการสนับสนุนจึงทำให้ไม่เวิร์ค ตลาดโดยรวมทั้งในกรุงและต่างจังหวัดที่ไม่มีการพัฒนา จึงค่อย ๆ ละลายไปจนแทบไม่เหลือ
ในขณะที่โรงหนังที่เคยฉายหนังอินเดียเป็นหลักเช่น เท็กซัส ต้องปิดกิจการ ควีนส์ ย่านวังบูรพา และโรงหนังบางกอก ( แถวมักกะสัน ) ที่เคยฉายหนังอินเดียเป็นประจำก็ต้องแปรเปลี่ยนเป็นโรงฉายหนัง 2 เรื่องควบ และโรยราในที่สุด
-
โรงฉายหนังอินเดียแทบไม่มี นาน ๆ ทีจึงจะมีหนังอินเดียเข้าฉายซึ่งต้องเป็นหนังใหญ่จริง ๆ เช่น โชเล่ย์ / KHUDA GAWHA รักข้าเหนือชีวิต ที่เข้าฉายโรงหนังแอมบาสเดอร์ สะพานขาว
เมื่อยุคโรงหนังแบบตั้งเดี่ยวหรือสแตนอโลนถดถอยลง โรงหนังในย่านศูนย์การค้าผุดขึ้นค่ายใหญ่วางเครือข่ายโรงหนังครอบคลุมไปทั่วกรุงและชานเมือง เทรนด์ใหม่ของโรงหนังคือเน้นไปที่ตลาดวัยรุ่น คนเดินห้างช้อปปิ้ง นักเรียนนักศึกษา คนหนุ่มสาว
กระแสความนิยมตะวันตก ทำให้เด็กไทยรู้จักนักฟุตบอลอังกฤษดีกว่านักบอลไทย เช่นเดียวกับฟาสต์ฟูดที่แพร่หลายไปตามห้างสรรพสินค้า ในขณะเดียวกับที่ข้าวแกงยังขายริมถนน โรตีต้องเข็นรถขายตามซอย ตามตลาดชุมชน
“การตลาด สมัยใหม่” ยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวหน้า สื่อสารมวลชนเข้ามามีบทบาท การสร้างภาพลักษณ์ สร้าง ”แบรนด์” เป็นสูตรสำคัญของการผลักดันสินค้า แนวฝรั่งพี่ไทยก็เดินตามแฟชั่นเขาเรียบร้อยไปแล้ว ต่อมาญี่ปุ่นจะไปทางไหน วัยรุ่นไทยก็ไปด้วย แถมเกาหลี จีนทั้งไต้หวัน เอฟ4 ละอ่อนไทยรับได้หมด โทรศัพท์มือถือกลายเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะร่างการที่ต้องพกติดตัวตลอดเวลา แต่การตลาดหนังอินเดียในไทยไม่กระเตื้อง
ทางออกของหนังอินเดียในเมืองไทย เท่าที่ปรากฏคือ ออกฉายทางทีวีทั้งซีรี่ส์และหนังเรื่อง แต่ก็กระปริบกระปอย ซึ่งเมื่อเทียบอัตราส่วนกับหนังจีน หนังญี่ปุ่น เกาหลีแล้ว ผิดกันลิบลับ ทั้ง ๆ ที่อินเดียผลิตหนังต่อปีมากที่สุดในโลก และวัฒนธรรมดั้งเดิมของไทยก็มีรากมาจากอินเดีย :D :D :D
-
มองด้านการตลาดก็พอเห็นแล้วว่า “ภาพลักษณ์“ หนังอินเดียในไทย ไม่ค่อยได้พัฒนา คนส่วนใหญ่ขาดข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องราวความเคลื่อนไหวหนังอินเดียที่อัพเดท ทำให้ยังคงมีภาพหนังอินเดียปีมะโว้ค้างคาใจอยู่
เช่นพอเอ่ยถึงหนังอินเดียก็มักจะนึกถึงหนังโบราณ นาร๊ายนาราย หรือไม่ก็ พระเอกนางเอกร้องเพลงวิ่งข้ามเขา 3 – 4 ลูก ฉากบู๊ก็ต่อยกันเฉียดไปเฉียดมาเป็นงั้นไป ทั้ง ๆ ที่หนังอินเดียยุคใหม่ก้าวไปไกล พัฒนาทั้งเนื้อหา รูปแบบ การลงทุน การถ่ายทำ การแสดง โพสต์โปรดั๊กชั่น โปรโมชั่น ฯลฯ Weddind สามารถฉายได้ทั่วโลก
หนังอินเดียในไทยปัจจุบัน ถ้าหากเป็นหนังโรงในกรุงเทพฯ จะมีมาฉายเฉพาะกิจเฉพาะกาล เช่น ตามงานเทศกาลหนังนานาชาติ เทศกาลหนังอินเดีย หรือ หนังอินเดียรอบพิเศษ (ส่วนใหญ่เป็น รอบเช้าเสาร์ – อาทิตย์ ) ก็มีคนนำมาฉายเหมือนกัน อย่างเช่นเรื่อง BLACK / KISNA / Kaal แต่ก็ฉายเพียง รอบ สองรอบ เสียงภาษาฮินดี และอยู่ในแวดวงจำกัดของชาวอินเดียในกรุงเทพฯ ตลาดหนังอินเดียในไทยยุคนี้จึงไม่ได้อยู่ที่ ”หนังโรงหรือทีวี” แต่อยู่ที่ ”หนังแผ่น” วีซีดี ดีวีดี ทั้งหนังอินเดียพากย์ไทย หนังอินเดียเสียงในฟิล์ม ตลาดหนัง ”หนังแผ่นอินเดีย” ยุคนี้…..ไม่ธรรมดา
-
สำหรับตลาดหนังอินเดีย ประเภท วีซีดี ดีวีดี ที่นำมาทำพาย์ไทยแล้วจัดจำหน่าย เท่าที่ติดตามสำรวจตลาดหนังอินเดียที่ทำเป็น วีซีดี ( ดีวีดี ยังมีน้อย ) มีข้อสังเกตุดังนี้
1 ผู้ชมผู้ซื้อกลุ่มลูกค้า
1.1 กลุ่มผู้ชม ส่วนใหญ่ เป็นสุภาพสตรี ส่วนสุภาพบุรุษก็พอมี แต่เมื่อเทียบสัดส่วนยังน้อยกว่าสุภาพสตรี
1.2 ผู้ซื้อผู้ชม ยังขาดข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหนังอินเดีย ทั้งเรื่องที่วางตลาด และที่น่าสนใจ
1.3 ผู้ซื้อ มักจะตัดสินใจเลือกซื้อจากการพิจารณา
- ดารานำแสดง ( แน่นอนว่า หนังSRK มาอันดับหนึ่ง)
- จากนั้นจะพิจารณาสไตล์หนัง ซึ่งหนังแนวรัก ชีวิต จะได้รับความนิยมมากกว่าประเภทบู๊
- แพคเกจรูปลักษณ์ หน้าปก ถ้าสวยก็ชวนซื้อ ยิ่งเป็นชุดสามแผ่นใส่กล่องก็ยิ่งน่าสนใจแฟนขาประจำก็ตัดสินใจซื้อไม่ยากเ พราะเข้าใจ (ว่าหนังไม่โดนหั่นออก)
1.4 ผู้ซื้อส่วนใหญ่ยังเขิน ๆ อยู่บ้างในการเลือกซื้อหนังอินเดีย อาจเพราะเกรงว่าจะถูกมองหาว่าว่า ”เชย” (ทั้ง ๆ ที่ความจริง หนังอินเดีย โกอินเตอร์นานแล้ว ของไทยเพิ่งจะโกจริง ๆ จากองค์บาก )
1.5 ผู้ซื้อผู้ชมไม่ค่อยมั่นใจในหนัง ทั้งนี่อาจเนื่องจากเคยเจอหนังแผ่นที่ทำออกมาแบบลดต้นทุน ทั้งเนื้อหนัง การพากย์ ตัดทอนสั้นลงจนบางเรื่องดูแล้วขาดอรรถรสไปเยอะ บางเรื่องก็เป็นหนังเก่า หนังต้นทุนต่ำ หนังลดราคาขายตามตลาดนัด ตลาดล่าง เรื่องละ 19 บาท 29 บาท หรือ 4 เรื่อง 100 ทำให้ผู้ชมบางส่วนคิดว่าหนังอินเดีย ”มีแค่เนี๊ยะ”
-
กลับมาดูตลาดหนังแผ่นอินเดียในไทย (เฉพาะที่พากย์ไทย) ในเมื่อหนังอินเดียในไทย แทบไม่ได้ฉายตามโรง (จะมีบางเรื่องที่นำเข้ามาฉายเพียงรอบ สองรอบ) โฆษณาทางหน้าหนังสือพิมพ์จึงไม่มี ทางทีวีหรือสื่ออื่นก็ไม่มี
เมื่อมีการนำหนังอินเดียมาทำเป็นหนังแผ่น พากย์ไทย ไม่ค่อยมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ หรือถ้ามีก็นิดหน่อย หรือเล็ก ๆ (แทบต้องเอาแว่นขยายส่องดู)
อาจเพราะว่างบประมาณการโฆษณาจำกัด หรือยังไม่พร้อมที่จะ ”ทุ่มเพื่อสร้างตลาด” หรืออาจเนื่องจากนโยบาย “การตลาดซึมลึกแบบน้ำซึมบ่อทราย” ที่ค่อย ๆ ขาย ไม่ต้องทุ่มอะไรมาก เพราะมีฐานลูกค้าเดิมอยู่แล้ว
บางรายอาจเห็นว่า “ไม่น่าเสี่ยง” ที่จะโปรโมท เพราะจุดคุ้มทุนสูง ต้นทุนการผลิตหนัง มีตั้งแต่ค่าลิขสิทธ์ ค่าทำบท ค่าพากย์ ค่ามาสเตอรริ่ง เฉพาะค่าปั๊มแผ่นวีซีดี หนังอินเดียมาตรฐาน อย่างต่ำต้อง 3 แผ่นต่อเรื่อง ซึ่งสิ้นเปลืองกว่าหนังทั่วไปที่เฉลี่ยเป็น วีซีดี 2 แผ่น หนังแผ่นอินเดีย เมื่อรวมกับค่าแพ๊ค ค่ากล่อง ค่าปก ก็ย่อมสูงไปด้วย แต่หนังแผ่นอินเดียวีซีดี ราคาขายปลีกเฉลี่ยก็ไม่สูง ประมาณเจ็ดสิบ แปดสิบบาท จนถึงถึงร้อยเศษ ๆ ลูกค้าทั่วไปพอมีกำลังซื้อได้ :D :D :D
ปัจจุบันหากจะประมวลจากปัจจัยส่งเสริมคือการพัฒนาคุณภาพของหนังอินเดียดีขึ้น การค้าระหว่างไทยกับอินเดียขยายตัวขึ้น อินเดียเองก็ปรับทิศทางการลงทุนการตลาดระดับนานาชาติ อนาคตการตลาดหนังอินเดียในระดับนานาชาติจึงมีโอกาสก้าวหน้าไปมาก โดยมีฐานผู้ชมจากชาวอินเดียเป็นพื้น ต่อยอดด้วยผู้ชอบความเป็นตะวันออก และกลิ่นอายแห่งอารยะธรรมภารตะ
กอปรกับ “จุดขาย“ หนังอินเดียที่มีดาราระดับ ”แม่เหล็ก” อาทิ ซาฮ์ รุข ข่าน, อมิตาป บาจาห์น, อิสวารายา ไร, ปรีตี้ ซินต้า, จอห์น อับบราฮัม ฯลฯ เป็นตัวชูโรง มีการถ่ายทำในต่างประเทศ ร่วมทุนกับต่างชาติ หรือแม้กระทั่งนำนักร้องจากต่างชาติเข้าไปร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ (DHOOM) ที่น่าจับตาคือ “ระบบโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม“ มีช่องหนังอินเดีย มิวสิควีดีโออินเดีย แพร่ภาพกว้างไกลไปทั่วโลก ย่อมส่งผลให้การตลาดหนังอินเดียขยายไปทั่วโลก ;) ;) ;)
-
สำหรับรอบ ๆ เมืองไทยเรา ในมาเลย์เซีย สิงคโปร์ นั้น หนังอินเดียได้รับความนิยมไม่น้อยหน้าใคร ยิ่งดีวีดีหนังอินเดียบางเรื่องนอกจากมีซับภาษาอังกฤษแล้วยังมีภาษามาเลย์ อีกด้วย
สำหรับในไทยก็ดูทีท่าว่าน่าจะไปได้แต่ทั้งนี้ต้องมีการนำเสนอข้อมุลข่าวสา รอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ผู้ค้า ผู้ผลิต ครีเอทีฟ ก้อปปี้ไรเต้อร์และสื่อมวลชนต้อง ”ทำการบ้าน” มากขึ้น ที่จริงข้อมูลหนังบอลลีวู๊ดทางอินเตอร์เน็ตนั้นก็มีท่วมท้น อัพเดทกันตลอด หรือแมกกาซีนหนังอินเดีย(อาทิฟิล์มแฟร์) ก็มาตรฐานสูง ดังนั้นการโปรโมทหนังอินเดียคงไม่เป็นเรื่องเหนือบ่ากว่าแรงที่จะทำได้
ชื่อหนังก็ตั้งให้เข้าท่าเข้าทางหน่อย ประเภทอ่านชื่อหนังแล้วอยากวิ่งเอาหัวกระแทกฝาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย เช่น โรตี...วิ่งสู้ฟัด น่ะ ขอบิณฑบาตเถอะ ดีไมดีเขานึกว่า หนังสองเรื่องควบ หนังอินเดียเรื่อง หนังจีนเรื่อง เฮ้อ...... และควรใส่ชื่อเดิมเอาไว้เพื่อให้คนซื้อเขารู้ว่ามาจากหนังเรื่องไหน ส่วนหนังแผ่นอินเดียที่ทำเป็นดีวีดีนั้นจัดว่าอยู่ในระดับอินเตอร์แล้ว ชาวอินเดียมีอยู่ทั่วทุกทวีป แฟนหนังอินเดียมีอยู่ทั่วโลก สถิติผู้ชมหนังอินเดียทั่วโลกนั้นฮอลลีวู้ดยังชะเงื้อมอง
ส่วนในประเทศไทยเรา ตอนนี้มีบางเรื่องทำเป็น ดีวีดี และ อีซี่ดีวีดี (แผ่นเดียว) ราคาใกล้กับวีซีดี ก็ได้รับการตอบรับดีพอสมควรตรงนี้น่าจะเป็นทางออกในการลดต้นทุนได้ ในเมื่อปัจจุบันเครื่องเล่น ดีวีดี ราคาถูกลง (บางรุ่นไม่ถึงสองพัน) ตลาดดีวีดีกำลังขยาย ดีวีดีหนังหลายเรื่องทำเป็นสองเวอร์ชั่น แบบธรรมดา กับแบบพิเศษ (เพิ่มฟีเจอร์ หรือระบบเสียง หรือเป็นดีวีดี 9 )
:) :) :) ผมนำบทความมาให้อ่าน หวังว่าจะมีประโยชน์ ไม่มากก็น้อยนะครับ ท่านใดมีข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติม หรือมีข้อแนะนำ เชิญส่งมาได้ครับ...
-
ขอแถมท้ายด้วย Mother India เต็มเรื่อง ...
http://www.youtube.com/watch?v=-q_8vu6j4jo
-
ขอบคุณสำหรับข้อมูล... และหนังอินเดีย.. ;D
-
เพราะหนังอินเดีย เน้นการนำเสนอแบบมิวสิคคัล แทบทุกเรื่อง ไม่รับกับรสนิยมคนดูหนังรุ่นใหม่ๆในบ้านเราครับ ยกเว้นหนังใหม่ๆ
-
หนังอินเดียเนี่ย ผมชอบมาก คือหนังจะแสดงให้เห็นสถานภาพทางสังคม แง่คิดทางศีลธรรม และมีความละเมียดละไมทางดนตรี ผมดูและประทับใจอยู่ 4 เรื่องที่จำได้ มีโชเล่ย์ ธรณีกรรแสง ช้างเพื่อนแก้ว และองคุลีมาล
และหนังอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเทพเจ้า และเรื่องรามเกียรติ์ ผมว่าคนดูหนังยังมีอีกมากแต่ไม่รู้จะหาดูได้ที่ไหนมากกว่า
Yeh Dosti จาก โชเล่ย์ ถ้าสังเกตุจะเห็นว่าลิเกเอาเพลงนี้ไปร้อง ตอนออกแขก กับนางเอกเต้นโชว์
http://www.youtube.com/watch?v=4CSYwTE1kr0
Duniya Mein Hum Aaye Hain จาก ธรณีกรรแสง หนังทำออกมาดีสุดๆ คือพื้นฐานทุกคนรักแม่อยู่แล้ว เรื่องราวที่เราได้ดู ทำให้น้ำตามันไหลออกมาเอง
http://www.youtube.com/watch?v=RjYhUk6M0iM
Chal chal mere saathi o mere haathi จาก ช้างเพื่อนแก้ว นำแสดงโดย ราเยส คานนา เพิ่งเสียชีวิตไป
http://www.youtube.com/watch?v=kLzWzAYpwU0
องคุลีมาล เต็มเรื่องมีใน Youtube ผมคุ้นกับเสียงพากษ์เสียงไทยมากๆ ปัจจุบันไม่ค่อยได้ยินแล้ว
http://www.youtube.com/watch?v=MEilNbHygtA
-
เพลงใน ธรณีกรรแสง
Nagri Nagri Dware Dware
http://www.youtube.com/watch?v=O48Q7_ZJSF0
-
เพลงใน ธรณีกรรแสง
Duniya Mein Hum Aaye Hain
http://www.youtube.com/watch?v=RjYhUk6M0iM
-
เพลงใน ธรณีกรรแสง
Dukh Bhare Din Beete Re
http://www.youtube.com/watch?v=SmPzpWQ5v_E
-
ขอบคุณครับ
-
ข้อมููลเนื้อๆ ขอบคุณครับ
-
ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ สุดยอดเลยครับ
-
อยากดูระบบฟิล์มจัง