เวบบอร์ดสำหรับผู้ชื่นชอบระบบการฉายภาพเคลื่อนไหว
รวมพลคนเล่น Projector / Digital Cinema => กิจกรรมและอื่นๆที่เกี่ยวกับ Projector => ข้อความที่เริ่มโดย: gbnaja ที่ 22 สิงหาคม 2014, 17:42:20
-
ในการฉายภาพแบบ DLP โดยใช้ DMD chip นั้น
ในรุ่นเล็กๆ แบบ single chip จะมี Color Wheel เปลี่ยนจากแสงสีขาวจากหลอดให้กลายเป็นแม่สี 3 สี นั่นคือ REG GREEN BLUE
ถ้าในรุ่นใหญ่ๆ แบบ 3-chips ก็ไม่ใช้color wheel แล้ว แต่ไปใช้ prism แยกสีจากแสงสีขาวเป็น R G B แล้วส่งตรงไปยัง DMD แต่ละตัว
จากวิธีการดังกล่าว แสงจาก prism หรือ color wheel ที่ส่งไปยัง dmd จะมีค่าของสีที่ตายตัว เช่น แดง 100%, เขียว 100%
แต่ผมส่งสัยว่า dmd มันเปลี่ยนสีจาก แดง 100% ไปเป็น แดง 50% ได้อย่างไรครับ
ยกตัวอย่างเช่น จาก แดงเข้ม เป็นแดงอ่อน เป็นต้น
จากที่เคยพูดคุยจากหลายๆคน พบว่า มาจากการที่ DMD สะท้อนสีออกไไปในเวลาที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น
แดง 100% , dmdสีแดง จะเปิดหน้าสะท้อนไว้เป็นเวลา 24 เฟรมติดต่อกัน ใน หนึ่งวินาที (กรณี 24f/s)
แดง 50% , dmdสีแดง จะเปิดหน้าสะท้อนไว้ 12เฟรมติดต่อกัน ในหนึ่งวินาที
แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ และยังรู้สึกมึนๆงงๆ อยู่ครับ ท่านใดพอจะอธิบายได้บ้างครับ
(http://naiveartonline.com/sites/default/files/styles/large/public/color%20boxes.PNG?itok=Kx5_HqbF)
-
เกิดจากองศาของตัวกระจก micro mirror ที่สะท้อนแสงเข้าเลนส์ครับ
สมมุติถ้ากระจกอยู่ที่ 0 องศา คือสะท้อนแสงเข้าเลนส์ 100%
แต่ถ้ากระจกเบี่ยงไป 10 องศา คือไม่มีแสงเข้าเลนส์เลย เป็น 0%
การเปลี่ยนแปลงความเข้มแสง ก็เกิดจากการเปลี่ยนองศาของตัว micro mirror แต่ละแผ่นเอา
ถ้าโดยหลักๆก็คือประมาณนี้ื แต่ในทางเทคนิคลึกๆ ก็คงจะมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก (ความลับทางการค้า)
-
:D :D :D ขอบคุณครับ....
-
เกิดจากองศาของตัวกระจก micro mirror ที่สะท้อนแสงเข้าเลนส์ครับ
สมมุติถ้ากระจกอยู่ที่ 0 องศา คือสะท้อนแสงเข้าเลนส์ 100%
แต่ถ้ากระจกเบี่ยงไป 10 องศา คือไม่มีแสงเข้าเลนส์เลย เป็น 0%
การเปลี่ยนแปลงความเข้มแสง ก็เกิดจากการเปลี่ยนองศาของตัว micro mirror แต่ละแผ่นเอา
ถ้าโดยหลักๆก็คือประมาณนี้ื แต่ในทางเทคนิคลึกๆ ก็คงจะมีรายละเอียดปลีกย่อยลงไปอีก (ความลับทางการค้า)
เท่าที่ทราบมา dmd จะมีแค่เปิดกับปิดเท่านั้นครับ
คือ +10 องศา ไม่ก็ -10 องศาเลยครับ
ในที่นี้ +10 คือออกไปเลนส์ -10 คือเข้า light absorb ครับ
หลักการตรงนี้เป็นหลักการที่ผมมองว่าพื้นๆ ไม่น่าจะมีความลับอะไรครับ เพราะเราต้องการรู้แค่หลักการของมันเท่านั้นเองครับ
-
แลกเปลี่ยนกันนะครับ
ความสว่าง ก็คือ ความสว่าง ซึ่งแยกออกจากการผสมสีนะครับ
ยกตัวอย่างใน ระบบสี แบบ L a b ตามรูป L+ สว่างมาก L- สว่างน้อย
-
ผมว่าเริ่มต้น ต้องกล่าวถึงทีวิขาวดำ ก่อน หลักการคือ อิเล็กทรอน ชนฟอสเฟอร์ จะสว่าง ไม่มีอิเล็กทรอนชน คือมืด
จุดฟอสเฟอร์ จะเป็นจะตัวบอกความคมชัดว่า มีความละเอียดกีเส้น ประมาณนั้น
สัญญาณ หลักคือ ความสว่างเรียกว่า Y หรือ Luminance
ดังนั้น DLP ตัดเอา Color Wheel ออก ก็จะเหลือ แค่ Luminance เท่านั้น ;D
-
ผมว่าเริ่มต้น ต้องกล่าวถึงทีวิขาวดำ ก่อน หลักการคือ อิเล็กทรอน ชนฟอสเฟอร์ จะสว่าง ไม่มีอิเล็กทรอนชน คือมืด
จุดฟอสเฟอร์ จะเป็นจะตัวบอกความคมชัดว่า มีความละเอียดกีเส้น ประมาณนั้น
สัญญาณ หลักคือ ความสว่างเรียกว่า Y หรือ Luminance
ดังนั้น DLP ตัดเอา Color Wheel ออก ก็จะเหลือ แค่ Luminance เท่านั้น ;D
ครับ
ถ้าตัดเรื่องสีออกไปก็จะได้เพียง luminance อันนี้เห็นด้วยเลยครับ
แต่ Luminance ตรงนี้ dmd สามารถสร้างออกมาเป็น Gray scale ได้ครับ
(http://m3.i.pbase.com/u8/tomsmithvaniz/medium/32907603.grayscale2.jpg)
ในเอกสาร DMD เคลมไว้ว่า สามารถสร้าง Gray Scale ได้ถึง 1024 เฉด ครับ
ซึ่ง Gray Scale ตรงนี้ถ้ามีเป็นสีเข้ามาก็จะกลายเป็น เฉดสี ครับ
การที่จะให้ได้ Gray Scale ตรงนี้ ผมว่าเป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ Projector จะไปปรับแสงของหลอดครับ
ในเรื่องของ Lens ก็ไม่มีตัวไหนทำหน้าที่ลดแสงหรือเพิ่มแสงเลยครับ
-
เป็นประโยชน์มากๆเลยครับ....
แลกเปลี่ยนกันครับ..แนะนำตัวกันสักหน่อยก็ดีครับ..
อย่างที่เคยเห็นเอาดระจกสีออกเหลือแต่มอเตอร์หมุนโดยที่ไม่มีกระจกสี.
ภาพที่ได้ก็เป็นขาวดำส่วนการสร้างเฉดสีไม่ทราบจริงๆครับ....ผมเห็นด้วยกับอาจารย์โหน่งนะ...เคยอ่านเจอว่าDMD จะสะท้อนแสง..ผิดถูกขอภัยด้วยครับ..ขอบคุณสำหรับข้อมูล
-
ครับ เรายังไม่คุยเรื่องการ ผสมสีนะครับ
คุย กันเรื่อง Luminance ต่อ ผิดพลาดอย่างไร ขออภัย แลกเปลี่ยนกันนะครับ
สัญญาณ color bar เป็นอย่างไร
เป็นดังรูป สองรูป นี้นะครับ
In put = out put
X = Y
Y = F(x) เมือ x เป็นจุดทั้งหมดบนจอแสดงผล
เราต้องการให้เกิดการแสดงผล อย่างไรขึ้นอยู่กับอินพุทที่เราป้อน
-
เมื่อเอา Color ออก สัญญาณจะเป็นแบบนี้
จุดสังเกตุ จะอยู่ตรงจุดอ้างอิง White กับ Black ครับ Color bar ปกติ จะมีระดับขั้น ตามสี
ส่วนรูปอ้างอิงที่นำมาให้ดู นั้น คือความถีของขั้นมีมากกว่า ครับ
-
ลำดับการพัฒนาต่อมา จะเปลี่ยนจาก ระบบ อิเล็กตรอนชน ฟอสเฟอร์ มาเป็นเเบบ จุด เปิดปิดให้แสงผ่าน แบบ จอภาพผลึกเหลว liquid crystal display หรือ LCD เป็นจอภาพสร้างขึ้นจากพิกเซลสี หรือพิกเซลโมโนโครมจำนวนมาก ที่เรียงอยู่ด้านหน้าของแหล่งกำเนิดแสง แต่ละพิกเซลของจอผลึกเหลวนั้นประกอบด้วยชั้นโมโลกุลผลึกเหลวที่แขวนลอยอยู่ระหว่างขั้วไฟฟ้าโปร่งแสงสองขั้ว และตัวกรอง หรือฟิลเตอร์แบบโพลาไรซ์สองตัว แกนโพลาไรซ์ของฟิลเตอร์นั้นจะตั้งฉากกัน เมื่อไม่มีผลึกเหลวอยู่ระหว่างกลาง แสงที่ผ่านทะลุตัวกรองตัวหนึ่งก็จะถูกกั้นด้วยตัวกรองอีกตัวหนึ่ง
ทำงานแบบนี้ ครับ
http://www.youtube.com/watch?v=Bf3547WB5qs
-
http://www.dlp.com/technology/how-dlp-works/
Internal components of an old 1998 InFocus LP425z single-chip DLP projector, with a 4-segment color wheel. Interior view of a single-chip DLP projector, showing the light path. Light from the lamp enters a reverse-fisheye, passes through the spinning color wheel, crosses underneath the main lens, reflects off a front-surfaced mirror, and is spread onto the DMD (red arrows). From there, light either enters the lens (yellow) or is reflected off the top cover down into a light-sink (blue arrows) to absorb unneeded light.
แสง 3 สี มันฉายออกไปทีละสี จุดใดจุดหนึ่งในภาพ หากต้องการสีแดงสด ก็ไม่เปิดกระจกในจังหวะที่สีอื่นมากระทบครับ หากจุดนั้นต้องการแดงออกไปทางส้ม ก็เปิดกระจกให้สีเขียวบ้างไม่มาก ถ้าต้องการแดงออกไปทางชมพู ก็เปิดตอนสีน้ำเงินสลับกับแดง ความถี่ในการยิงแสงทั้ง 3 สีจะสูงมาก กระพริบเร็วมากๆ ถ้าเป็นแบบวีล ล้อสีก็จะหมุนเร็วมาก
หลักการพื้นฐานมาจากระบบ เทคนิคคัลเลอร์ ในสมัยมีแต่ฟิล์มขาวดำครับ ชิพ DMD ก็เหมือนกับเป็นฟิล์มขาวดำ 3 อันสลับกันไป พร้อมกับแสง 3 สีที่สลับกันมากระทบ เมื่อทั้ง 3 สี ฉายลงบนจุดเดียวกัน จึงไม่เกิดสีเหลื่อมแบบ LCD หรือ CRT ในยุคก่อน
-
เทคนิคคัลเลอร์ ระบบ 4 มี 3 สี R G B ที่เป็นพื้นฐานของ DLP
http://www.widescreenmuseum.com/oldcolor/technicolor6.htm
ถ้าเอาแสงสีขาวเท่านั้นป้อนที่ DMD แล้วเอากล้องสโลโมชั่นถ่าย DMD แล้วมาเล่นภาพสโลดู ก็จะเห็น DMD แสดงภาพแบบฟิล์มข้าวดำนี้เรียงวนไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นจังหวะปล่อยสีแดง ก็จะเป็นเหมือนฟิล์มเส้นซ้าย จะเห็นว่าจะจกจะสะท้อนแสงแถวๆ หน้าออกมาเยอะเลย ส่วนจังหวะสีเขียว กระจกก็จะเปลี่ยนมาเป็นแบบฟิล์มเส้นกลาง ที่จะปิดการสะท้อนแสงแถวหน้าลงไปให้เหลือน้อยลง เช่นเดียวกับจังหวะสีน้ำเงิน ที่กระจกจะเหมือนฟิล์มเส้นขวา แต่จะเปิดน้อยลงไปอีก
-
สนุก ๆ แลกเปลี่ยนกันครับ คำถาม
เวลาเราฉายหนังขาวดำ เข้าเครื่อง Projector เมื่อแสงสะท้อนเข้า DMD และเครื่องก็ไม่ได้ เอา Color Wheel ออก ทำไมภาพจึงไม่เป็นสี
และยังฉายภาพขาวดำได้ตามต้นฉบับ ? ;D ;D
-
ตอบไปแล้ว แต่ยังคาใจ เลยแอบไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมดู
...ผลก็คือ ตามคาดครับ ผมปล่อยไก่ไปหมดฟาร์มเลย :-[
http://en.wikipedia.org/wiki/Digital_micromirror_device
Micromirror ไม่ได้ใช้การเปลี่ยนองศากระจก ในการเปลี่ยนปริมาณแสง แต่ใช้การเปิดเป็นช่วงเวลานานมากน้อยแตกต่างกันไป อ้างอิงจากตรงนี้
"...To produce greyscales, the mirror is toggled on and off very quickly, and the ratio of on time to off time determines the shade produced (binary pulse-width modulation). Contemporary DMD chips can produce up to 1024 shades of gray (10 bits). See Digital Light Processing for discussion of how color images are produced in DMD-based systems...."
ยกตัวอย่าง - ถ้าต้องการแสงผ่าน 100% ก็คือหันกระจกไปที่ 0องศา แสงเข้าเลนส์เต็ม 100% (เปิดหมด)
ถ้าต้องการแสงผ่าน 0% ก็คือหันกระจกไปที่(สมมุติ) 10องศา ไม่มีแสงเข้าเลนส์เลย (ปิดหมด)
แต่ถ้าต้องการแสงผ่าน 50% ก็คืออาจหันกระจกไป 0 องศา เป็นเวลา 20 millisecond แล้วหันกระจกไปที่ 10องศาอีก 20 millisecond
ถ้าจะให้เป็นสี ก็ต้องกำหนดจังหวะปิด-เปิด ให้สัมพันธ์กับการหมุนของ color wheel ด้วย ว่าจะเปิดให้แต่ละสี R,G,B แสงผ่านเป็นเวลาสั้นยาวแค่ใหน ประมาณนั้นน่ะครับ
และคงมีเทคนิคปลีกย่อยต่างๆออกไปอีก (100Hz,color wheel มากกว่า 3 เฉดสี,ฯลฯ) แต่หลักการพื้นฐาน คือเริ่มต้นจากตรงนี้หมดครับ
แก้ไขความเข้าใจผิดของตัวเอง&คนอื่นแล้ว เป็นอันหมดหน้าที่ละครับ
-
อีกนิดละกัน
สนุก ๆ แลกเปลี่ยนกันครับ คำถาม
เวลาเราฉายหนังขาวดำ เข้าเครื่อง Projector เมื่อแสงสะท้อนเข้า DMD และเครื่องก็ไม่ได้ เอา Color Wheel ออก ทำไมภาพจึงไม่เป็นสี
และยังฉายภาพขาวดำได้ตามต้นฉบับ ? ;D ;D
รู้หลักการแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ยากละครับ
ถ้าจะให้เป็นขาวดำ ก็เพียงแต่กำหนดให้ยิงแต่ละแม่สี R,G,B ออกมาในอัตราส่วนเท่ากันตลอดก็ได้ละ
เช่น ต้องการสีดำสนิท R,G,B ก็จะเป็น 0,0,0
แต่ถ้าต้องการขาวสนิท R,G,B ก็จะเป็น 255,255,255 (คิดที่ 8 bit 0-255 ละกันครับ)
แล้วสีเทาล่ะ? ก็แค่ยิง R,G,B ออกมาครึ่งเดียว 128,128,128 ก็ได้สีเทาละครับ :)
-
ตอบไปแล้ว แต่ยังคาใจ เลยแอบไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมดู
...ผลก็คือ ตามคาดครับ ผมปล่อยไก่ไปหมดฟาร์มเลย :-[
http://en.wikipedia.org/wiki/Digital_micromirror_device
Micromirror ไม่ได้ใช้การเปลี่ยนองศากระจก ในการเปลี่ยนปริมาณแสง แต่ใช้การเปิดเป็นช่วงเวลานานมากน้อยแตกต่างกันไป อ้างอิงจากตรงนี้
"...To produce greyscales, the mirror is toggled on and off very quickly, and the ratio of on time to off time determines the shade produced (binary pulse-width modulation). Contemporary DMD chips can produce up to 1024 shades of gray (10 bits). See Digital Light Processing for discussion of how color images are produced in DMD-based systems...."
ยกตัวอย่าง - ถ้าต้องการแสงผ่าน 100% ก็คือหันกระจกไปที่ 0องศา แสงเข้าเลนส์เต็ม 100% (เปิดหมด)
ถ้าต้องการแสงผ่าน 0% ก็คือหันกระจกไปที่(สมมุติ) 10องศา ไม่มีแสงเข้าเลนส์เลย (ปิดหมด)
แต่ถ้าต้องการแสงผ่าน 50% ก็คืออาจหันกระจกไป 0 องศา เป็นเวลา 20 millisecond แล้วหันกระจกไปที่ 10องศาอีก 20 millisecond
ถ้าจะให้เป็นสี ก็ต้องกำหนดจังหวะปิด-เปิด ให้สัมพันธ์กับการหมุนของ color wheel ด้วย ว่าจะเปิดให้แต่ละสี R,G,B แสงผ่านเป็นเวลาสั้นยาวแค่ใหน ประมาณนั้นน่ะครับ
และคงมีเทคนิคปลีกย่อยต่างๆออกไปอีก (100Hz,color wheel มากกว่า 3 เฉดสี,ฯลฯ) แต่หลักการพื้นฐาน คือเริ่มต้นจากตรงนี้หมดครับ
แก้ไขความเข้าใจผิดของตัวเอง&คนอื่นแล้ว เป็นอันหมดหน้าที่ละครับ
อันนี้ เห็นด้วยครับ
ผมเข้าใจประมาณนี้
อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ระดับนี้ จะสื่อสารกันด้วย ระบบ I2C Bus (ย่อมาจาก Inter Integrate Circuit Bus) นิยมเรียกสั้นๆว่า BUS (ไอ-แสคว-ซี-บัส) เป็นการสื่อสารอนุกรม แบบซิงโครนัส (Synchronous) เพื่อใช้ ติดต่อสื่อสาร ระหว่าง ไมโครคอนโทรลเลอร์ (MCU) กับอุปกรณ์ภายนอก ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท Philips Semiconductors โดยใช้สายสัญญาณเพียง 2 เส้นเท่านั้น คือ serial data (SDA) และสาย serial clock (SCL) ซึ่งสามารถ เชื่อมต่ออุปกรณ์ จำนวนหลายๆ ตัว เข้าด้วยกันได้ ทำให้ MCU ใช้พอร์ตเพียง 2 พอร์ตเท่านั้น
DMD chip จะได้รับสัญญาณดิจิตอล แค่ 0 กับ 1 เท่านั้น แต่จะให้ทำงาน ปิดเปิดกีครั้ง ในช่วง หนึ่งคลื่นสัญญาณ นาฬิกา ก็มาจากสัญญาณภาพ ทางอินพุท ว่าแปลงสัญญาณแล้ว ได้สัญญาณ ดิจิตอลเท่าไร DMD chip ก็จะทำงาน ตามนั้น ครับ
เพิ่มเติม แนะนำได้ นะครับ ก็ อ่านๆ มาเหมือนกัน ;D ;D
-
อีกนิดละกัน
สนุก ๆ แลกเปลี่ยนกันครับ คำถาม
เวลาเราฉายหนังขาวดำ เข้าเครื่อง Projector เมื่อแสงสะท้อนเข้า DMD และเครื่องก็ไม่ได้ เอา Color Wheel ออก ทำไมภาพจึงไม่เป็นสี
และยังฉายภาพขาวดำได้ตามต้นฉบับ ? ;D ;D
รู้หลักการแล้ว เรื่องนี้ก็ไม่ยากละครับ
ถ้าจะให้เป็นขาวดำ ก็เพียงแต่กำหนดให้ยิงแต่ละแม่สี R,G,B ออกมาในอัตราส่วนเท่ากันตลอดก็ได้ละ
เช่น ต้องการสีดำสนิท R,G,B ก็จะเป็น 0,0,0
แต่ถ้าต้องการขาวสนิท R,G,B ก็จะเป็น 255,255,255 (คิดที่ 8 bit 0-255 ละกันครับ)
แล้วสีเทาล่ะ? ก็แค่ยิง R,G,B ออกมาครึ่งเดียว 128,128,128 ก็ได้สีเทาละครับ :)
;D ;D ประมาณ นั้นครับ
โลกแห่งแสงนี่ มหัศจรรย์ ครับ เมื่อแสง แดง-R เขียว-G น้ำเงิน-B รวมกัน จะกลายเป็นสีขาว ดังนั้น การเล่นกลับสัญญาณภาพขาวดำ จึงไม่มีปัญหา ครับ ;D ;D
-
การลดความเข้มของแสงสี ทำไม่ได้ใน DLP โปรเจคเตอร์ครับ DLP จะใช้วิธี กำหนดจำนวนครั้งในการเปิดปิดกระจกในแต่ละจังหวะสีแทน แทนการคุมความเข้มหรือจางของลำแสงสี
-
มาเริ่มต้น เรื่อง สี กันครับ ;D
เรื่องของสี แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
1) White Balance : การกำหนดให้อุณหภูมิสีใกล้เคียง 6500°K ซึ่งจะทำให้ White balance หรือสมดุลสีขาวอยู่ตรงจุด D65 White Balance อันเป็นการอ้างอิงอุณหภูมิสีของแสงจากดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงตรง เป็นแสงสีขาวที่ใช้อ้างอิงว่าเป็นแสงสีขาวที่ถูกต้องในแง่สมดุล ไม่ใช่สีทีอมสีอื่นๆ เช่น ขาวอมน้ำเงิน อมเหลือง หรือขาวอมเขียว เป็นต้น
2) Color Space หรือ การอ้างอิงความสัมพันธ์ของขอบเขตและความถูกต้องของแม่สีหลัก RGB และแม่สีรอง CMY
แนะนำ เวปนี้ ครับ http://www.konicaminolta.com/instruments/knowledge/color/
-
ขอแจมด้วยคนครับ.... ;D ขอบคุณมากๆครับ
-
เพิ่งทราบว่ามี DLP TV ด้วย ฉายหลัง แบบโปรเจคชั่น ทีวี สมัยก่อน
http://www.youtube.com/watch?v=_6mb47_mgZ0
ดูกันชัดๆ เมื่อไม่มีล้อสี DMD ก็คือฟิล์มขาวดำดีดีนี่เอง
http://www.youtube.com/watch?v=XN6SJcYOluM