ผู้เขียน หัวข้อ: มาแล้วครับ ชีวิตนักพากย์ของพี่ชาติ เจ้าของนามพากย์ว่า "อธิษฐาน"  (อ่าน 1884 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 16 โดยพี่ชาติ อธิษฐาน

คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
วันนี้ผมมีรูปใบปิดหนังไทยสองเรื่อง
เพื่จะเล่าประวัติบางอย่าง และการพากย์หนังแบบ
"ช่วยหนัง"ครับ...
+++++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 16
.....................................
ช่วงนั้น...
เป็นยุคทองของ อุษาฟิล์ม
และเป็นช่วงโด่งดังสุดขีดของผมในเขตแปดจังหวัด
เพราะอุษาฟิล์มรับหนังใหญ่ๆและดังๆเข้ามามากมายหลายเรื่อง เช่น
ใจเพชร, ใจเดียว, จำเลยรัก, และ อ้อมอกสวรรค์
อ้อมอกสวรรค์ หนังของ ศิริ ศิริจินดา กับคุณ วงศ์ทอง ผลานุสนธ์ ไปได้นางงามเมษาฮาวายชาวระยองมาเป็นนางเอก
เธอเป็นคนที่นัยน์ตาสวยมาก คุณศิริจึงให้ฉายา ดารานัยน์ตาหยาดน้ำผึ้ง ก็คือคุณอี๊ด หรือ เพชรา เชาวราษฎร์ มาเป็นนางเอกอ้อมอกสวรรค์เป็นเรื่องแรก แต่หนังเรื่องนี้ ถ่ายทำปราณีต จึงช้าไปหน่อย เลยมีหนังอีกเรื่องที่นำคุณเพชราไปเป็นนางเอก ออกฉายตัดหน้าไปก่อน...
แต่ที่ดังมากๆก็คือ...นางสมิงพราย
หนังของคุณ สนาน วรรณภา คราประยูร
เป็นเรื่องของเด็กหญิงชาวบ้านป่าคนหนึ่ง ถูกเสือกัด
เมื่อเสือตัวนั้นถุกยิงตาย วิญญาณเสือก็กลายเป็นสมิงสิงร่างเด็กหญิงคนนั้น
ต่อมาคุณยายได้พาเธอไปอยู่ที่พม่า จนเติบโต เรียนจบมหาวิทยาลัย แล้วก็กลับมาอยู่บ้านเดิม
แม้วันเวลาจะผ่านไปแสนนาน แต่วิญญาณเสือสมิงก็ยังสิงร่างเธออยู่ ซึ่งปกติก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าใครไปทำให้เธอโกรธ เธอจะกลายร่างเป็นเสือสมิงเข้าทำร้ายศัตรู...
เนื้อเรื่องสนุกมากๆ...
นางสมิงพราย นำแสดงโดย มิตร ชัยบัญชา กับนางเอกใหม่
ตรึงใจ วิไลลักษณ์ และแนะนำพระเอกใหม่สู่วงการ เขาคือ
จ่าทหารเรือรูปหล่อและสูงใหญ่ นามว่า
"นาวิน เทพโยธี"
รับบทเป็น "คำมาย" ไอ้หนุ่มบ้านนอกผู้หลงรักนางเอก...
สำหรับ นาวิน เทพโยธี เรื่องต่อมาคุณสนานให้รับบทเป็นพระเอก ในหนังเรื่อง "พิชิตทรชน"
แต่หนังไม่ดัง ชื่อของนาวิน เทพโยธี เลยหายไปจากวงการ
แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ไปเป็นพระเอกในหนังของพระองค์เจ้าฯ เรื่อง
"ละครเร่"
เนื่องจากนาวินเป็นคนร่างสูงใหญ่ กล้ามเป็นมัดๆ ให้มารำละคร มันก็เลยไม่ค่อยจะเข้ากัน เขาก็เงียบไปอีก
แล้วก็มาแจ๊กพอร์ตเอาในหนังของ เปี๊ยก โปสเตอร์ เรื่อง
"ชู้"
โดยเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น
"มานพ อัศวเทพ"
คราวนี้ดังเปรี้ยงปร้างไปเลย
นาวิน หรือมานพ เป็นดารานิสัยดีมากๆ เวลาผมตามเฮียตี๋ไปเซ็นต์สัญญา หรือเวลาเขาติดตามมคุณสนานมาที่อุษาฟิล์ม
ผมได้คุยกับเขาบ่อยมาก แม้จะเป็นนักกล้าม แต่มานพกลับมีจิตใจอ่อนโอน พูดจาไพเราะ เรียกผมว่าพี่ทุกคำ
ผมถามเขาว่า เราเป็นนักกล้าม ทำไมไปเล่นหนังที่ต้องรำละคร?
คำตอบของเขา ทำให้ผมประทับใจมาก
"เราเป็นดารา เขาให้แสดงเรื่องอะไร บทไหน เราต้องทำให้ได้ และต้องเชื่อฟังผู้กำกับทุกอย่าง..."
จากคำตอบนี้ ทำให้ผมนึกไปถึงพระเอกยอดฮิตอีกคนหนึ่ง
ผมจะเล่าให้ฟัง พอเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆ
วันนหนึ่ง ผมตามเฮียตี๋ไปที่ร้านถ่ายรูป สนั่นศิลป์ ที่อยู่ติดๆกับ
กองจราจรตรงข้ามเยื้องๆกับโรงหนังเฉลิมกรุง เฮียมีธุระเกี่ยวกับเรื่องหนังที่นัดไปคุยกับคุณ สนั่น จรัสศิลป์ บนชั้นสี่
คุณสนั่นเล่าถึงความยากลำบากในการทำหนังเรื่องหนึ่ง
โดยมีฉากพระเอกกับนางเอกต้องเต้นรำกันในงานราตรีสโมสร แต่พระเอกคนนั้นบอกว่า
"ผมไม่เต้น ผมไม่ชอบการเต้นรำ ผมเต้นรำไม่เป็น"
คุณสนั่นก็อ้อนวอนว่า ขอให้ยืนจับมือนางเอกเฉยๆก็ได้ ผม
จะใช้มุมกล้องบังๆเอา
แต่...พระเอกคนนั้นกลับตวาดใส่คุณสนั่นเสียงดังว่า
"พูดภาษคนไม่รู้เรื่องหรือไง ผมบอกว่าไม่เต้นๆ..."
แล้วเขาก็ผลุนผลันออกจากฉากนั้นไป วันนั้น หนังต้องหยุดถ่าย คุณสนั่นต้องกลับไปแก้ไขบทกันใหม่ด้วยความช้ำใจ
นั่นยิ่งตอกย้ำคำพูดของคุณมานพที่ว่า
"เราเป็นดารา เขาให้แสดงเรื่องอะไร บทไหน เราต้องทำให้ได้ และต้องเชื่อฟังผู้กำกับฯทุกอย่าง"
ส่วนดาราคนนั้น ด้วยนิสัยแบบนั้นของเขา
ครั้งหนึ่ง มีนักข่าวบันเทิงจำนวนมากไปดักถ่ายรูปและทำข่าวของเขาที่แห่งหนึ่ง
เขาไม่ยอมให้ถ่ายรุป และไม่ยอมให้สัมภาษณ์ พร้อมกับด่าและตวาดใส่พวกนักข่าวเหล่านั้น เลยเกิดผลสะท้อนกลับ พวกนักข่าวสายบันเทิงนัดกันไม่เสนอข่าวของเขา ไม่ว่าจะแสดงเรื่องอะไร เจ้าของหนังมาให้ข่าวก็จะไม่ลงให้
เอาละซี...
ซวยขนาดหนักละซี...
เจ้าของหนังที่ทำสัญญาจ้างเขาแสดงทุกเรื่อง ฉีกสัญญาทิ้ง
ยอมให้เขากินมัดจำ เพราะว่า สร้างหนังมาแล้ว หนังสือพิมพ์ไม่ลงข่าวให้ ความบรรลัยเกิดแน่
เรื่องราวชักบานปลาย จนกระทั่ง ป๋าส. ศิลปินกระดูกเหล็กผู้เคยผ่านชีวิตนักข่าวนักหนังสือพิมพ์และนักแสดง เห็นท่าจะไปกันใหญ่ จึงโดดลงมาช่าวย นัดไกล่เกลี่ย โดยให้พระเอกคนนั้นไหว้ขอขมานักข่าว เรื่องถึงจบลงได้...
เรื่องนี้ เคยเป็นข่าวโด่งดังมากสมัยนั้น...
และ...
หนังไทยอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผมอยากฝาก "อะไร" ไว้ให้นักพากย์รุ่นหลังๆได้รับรู้ถึงชีวิตนักพากย์สมัยก่อน ที่ต้องเจอปัญหา...
จากหนังเรื่อง "ชุมทางเขาชุมทอง"
นำแสดงโดยป๋า ส. อาสนจินดา พิศมัย วิไลศักดิ์
ตามเนื้อเรื่อง คือ ส.อาสนจินดา รับบทเป็น ไอ้เก้ง ได้เสียกับพิศมัย จนเกิดลูกชายมาหนึ่งคน คือ "ไอ้กวาง" พิศมัยนั้นเกลียดไอ้เก้ง เพราะถือว่าไอ้เก้งข่มขืนเธอจนมีลูก แล้วก็สอนให้ลูกชายเกลียดพ่อ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ไอ้กวางกำลังจะบวช นั่งฟังหมอทำขวัญนาคอยู่ จู่ๆก็มีเพื่อนหลายคนมาเรียกให้ไอ้กวางไปช่วยพ่อ ที่กำลังบุกเดี่ยวไปต่อสู้เพื่อยับยั้งเหล่าร้ายที่จะมาระเบิดสถานีชุมทางเขาชุมทอง
ไอ้กวางตอบว่า ไม่ไป เพราะไม่ถือว่าไอ้เก้งเป็นพ่อ เพราะเขาเป็นลูกที่พ่อข่มขืนแม่ เร้าหรือไปมา คุณตาของไอ้กวาง (ทัต เอกทัต)" ก็ตวาดไล่ ว่าไอ้พวกมารศาสนา จะมาขัดขวางการบวช
แต่...ปัญหาของหนังเกิดขึ้น
เมื่ออยู่ดีๆไอ้กวางก็ลุกขึ้นสลัดชุดนาคออก พูดสองสามคำ
ซึ่งตรงนี้ไม่มีในบทพากย์ แล้วไอ้กวางก็วิ่งไปที่พวกเพื่อน พากันขึ้นม้า "กองม้าพระยานคร" เพื่อไปสู้กับกองม้า "อัศดรสิชล" ท่ามกลางความตกตลึงของคุณตา กับแขกเหรื่อในฉากหนัง และที่สำคัญ คนดูก็งงๆ ผมผู้พากย์ก็งงๆ เพราะนี่เป็นรอบแรก แล้วผมก็ไม่ได้ซ้อมหนังมาก่อนด้วย จึงไม่รู้ปัญหา ไม่ได้แก้ไข ปล่อยหนังไปดื้อๆ...
ทว่า...
วิญญาณของความเป็นนักพากย์
และคำสอนของพี่ฟ้อน "ฟ้าฟื้น-รัศมี"
สอนว่า เป็นนักพากย์ นอกจากอ่านหนังสือได้แตกฉาน
ยังต้องมีปฏิภาณแก้ไขปัญหาของหนังให้รอด จึงจะเรียก
ได้ว่านักพากย์ที่แท้จริง
ผมพยายามคิดหาทางแก้ปัญหา แต่ก็คิดอะไรไม่ออก
จนกระทั่งรอบต่อมา
พอถึงฉากปัญหา ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมอง
เมื่อเริ่มต้นฉาก ภาพโคลสอัพหน้าหมอทำขวัญ ผมก็เริ่มปูทาง
ด้วยการใช้ลีลาหมอทำขวัญนาคว่า
"ศรีๆ วันนี้วันดี ที่พ่อนาคมีอายุ บรรลุบวชชชชชชช"
ภาพต่อมาเป็นพวกเพื่อนๆมาชวนไอ้กวางไปช่วยพ่อ
ไอ้กวางไม่ยอมไป บอกว่า กูไม่นับเขาเป็นพ่อ เพราะกูเป็นลูกที่ถูกข่มขืน พูดจบก็เป็นภาพ ทัต เอกทัต คุณตา ด่าพวกเพื่อนๆว่าเป็นไอ้พวกมาร
แล้วภาพก็ตัดมาถึง "วินาทีทอง" ของผม
เมื่อภาพโคลสอัพหน้าหมอทำขวัญอีกครั้ง
ผมใส่วิญญาณหมอทำขวัญนาคลงไปว่า
"พ่อนาคเอ๋ย รู้ไว้เถิด ไม่มีพ่อแล้วพ่อนาคจะเกิด....มาได้ยังไง....."
คำทำขวัญที่ผมใส่นอกบทเพื่อช่วยหนังจบลง ไอ้กวางก็ลุกพรวดขึ้นสลัดชุดนาคออก แล้วตะโกนว่า
"ใช่โว้ย ไม่มีพ่อแล้วกูจะเกิดมาเป็นคนได้ยังไง..."
แล้วก็วิ่งไปที่เพื่อนๆ ขึ้นม้าควบออกไป
เจ้าประคุณเอ๋ย...
เสียงคนดูโห่ร้องเซ็งแซ่
เพราะชอบใจที่ลูกมันจะไปช่วยพ่อ
หนังรอดตาย ผมสบายใจ ที่แก้ปัญหาด้วยการ"ดำน้ำ" ได้เป็นผลสำเร็จ...
ในขณะที่ผมกำลังไปได้สวย...
วิบูลย์พันธ์เพื่อนรักก็เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น
วิบูลย์พัธ์เป็นคนเสียงใหญ่และห้าว ฟังไม่ค่อยไพเราะ
ส่วนการพากย์ก็ธรรมดาๆ หนังมายังไงก็พากย์ไปยังงั้น
ไม่มีลูกเล่นเสริมให้หนัง งานของเขาจึงน้อยลงๆเรื่อยๆ เพราะ
ไปพากย์ที่ไหน เจ้าของโรงก็ไม่ประทับใจ เขาจึงมีแต่งานพากย์กลางแปลง
ที่สุด...
เขาก็ยอมแพ้ชีวิตนักพากย์
บอกลาจากเฮียตี๋ แล้วขอยืมเงินจากเฮียตี๋ไปหลายหมื่น
ไปดาวน์รถสิบล้อมาวิ่งรับส่งสินค้าจากกรุงเทพฯไปสวรรคโลก บ้านเกิดของเขา
วิบูลย์พันธ์มีลูกสองคน คนโตเป็นผู้หญิง น่ารักมากๆ คนเล็กเป็นผู้ชาย เขาได้ขอให้ผมเป็นคนตั้งชื่อให้กับลูกทั้งสองของเขา ผมก็ตั้งให้
คนโต ผู้หญิง ชื่อเล่นว่า จิ้งจก ชื่อจริงว่า มัสยา
คนเล็ก ผู้ชาย ชื่อเล่นว่า โจ ชื่อจริงว่า ชาครีย์
หลังจากไปเป็นเจ้าของสิบล้อแล้ว ผมกับวิบูลย์พันธ์ก้ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
เมื่อเร็วๆนี้ ผมเจอแฟนเพจคนหนึ่งที่อยู่สวรรคโลก ถามเขาว่ารู้จักเจ้าของสิบล้อชื่อวิบูลย์พันธ์ไหม เขาตอบว่า เสียไปนานแล้ว อยู่แต่ลูกๆเขาที่ทำกิจการต่อ...
อยู่กับเฮียตี๋
ชีวิตผมรุ่งโรจน์อย่างมาก
จากพากย์กลางแปลง ก็มาขึ้นโรงเดินสาย
จนมาถึงหนังเรื่อง "กำไลหยก" ที่เฮียลงทุนสร้างเอง
ให้คุณ สนาน คราประยูร กำกับฯ
ซึ่งผมก็มีโอกาสได้เข้าฉากนิดหนึ่ง รับบทเป็นหมอมาดูอาการไข้ของอาแปะเจ้าของสวนผักที่เป็นเตี๋ยนางเอก คือ คุณภาวนา ชนะจิต ช่วงที่ถ่ายทำ ดึกมาก นางเอกภาวนาง่วงนอน เลยขึ้นไปขอพักผ่อนนอนหลับที่ห้องนอนของผม บนตึกอุษาฟิล์ม และนั่น เป็นเหตุให้ ภาวนา นักแสดง ได้พบกับ ภาวนา นักพากย์
คุณภาวนา ชนะจิต เป็นดาราลูกคนจีน พูดภาษาจีนฮกเกี้ยนได้คล่องแคล่ว เป็นดารานิสัยดีอีกคนหนึ่ง พูดคุยกันกับคุณภาวนานักพากย์ด้วยกิริยายิ้มแย้ม ไม่ถือตัว คุยกันสนุกจนผมต้องรีบพาคุณภาวนาลงมาข้างล่าง เพื่อให้คุณภาวนานักแสดงได้พักผ่อน...
เมื่อหนัง กำไลหยกเข้าฉายที่โรงหนังเอ็มไพร์
ได้เสน่ห์ โกมารชุน มาพากย์เป็นตัวนำ แล้วก็มี รจิกร กับนักพากย์หญิงอีกคนที่ผมลืมชื่อไป แล้วก็ อธิษฐาน กับภานา ร่วมพากย์ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นพากย์โรงชั้นหนึ่ง ซึ่งก็เป็นที่หมายปองของนักพากย์ทุกคน...
ชีวิต...
มีขึ้นมีลง...
การสร้างหนังของอุษาฟิล์มเริ่มมีปัญหาเมื่อมาสร้าง
"ผู้ใหญ่ลี"
แล้วเกิดมีปัญหากับผู้กำกับ เขาทิ้งหนัง หายหน้าไป แล้วเฮียตี๋ก็ไม่ดำเนินงานต่อ ทิ้งหนังไว้ครึ่งๆกลางๆยังงั้นแหละ
ประกอบกับตอนนั้น วงการหนังไทยเริ่มมีการตื่นตัว หันมา
สร้างหนัง 35 ม.ม. หนัง 16 ม.ม.ตกต่ำลงมาก
หนังในร้านเฮียตี๋ 300 กว่าเรื่อง เป็นหนังเก่าไปแล้ว ไม่มีคนมาเช่าไปฉาย หนังใหม่ก็ไม่เข้ามา งานพากย์ของผมก็น้อยลงๆ
จากความรุ่งโรจน์
ดวงผมกำลังจะตกต่ำ
ผมเริ่มคิด และหาวิธีเอาตัวรอด
แต่ก็คิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้จะทำยังไง ฐานะก็เริ่มจนลงๆ
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมไปเดินเกร่อยู่แถวหลังโรงหนังเฉลิมกรุง
ดินแดนแห่งการหางานของนักพากย์ และการนัดพบของนักร้องนักดนตรีและหางเครื่อง ที่มักนัดพบกันที่
ขณะกำลังเดินเพลินๆ พลันผมก็ได้พบกับนักพากย์รุ่นพี่คนหนึ่ง พี่อุดม หรือนามพากย์ว่า
"วาทศิลป์"
พี่ดมดีอกดีใจที่ได้พบผม พาผมเข้าไปนั่งคุยกันในร้านกาแฟ
บอกว่า ตอนนี้ ติดตามพี่ชิต (ชิต ชนะโชติ บุ๊กเกอร์มือ 1 ของ วัชรภาพยนตร์) มาเปิดบริการใหม่ที่ถนนหลานหลวง คือ
"กัญญามาลย์ภาพยนตร์" ของ ดอกดิน กัญญามาลย์
เขามีหนังเก่าหนังใหม่มากมายหลายเรื่อง แต่มีนักพากย์คู่เดียว คือพี่อุดม วาทศิลป์ คุณชิตอยากได้นักพากย์ฝีปากดีๆสักสี่ห้าคู่ เพราะหนังดอกดิน ต้องออกฉายพร้อมกันทั่วประเทศ ทั้งสายเหนือ สายใต้ สายตะวันออก และสายอีสาน
แล้วพระพรหมก็ยื่นหัตถ์ลงมาลิขิตชีวิตให้ผมอีกครั้ง เมื่อพี่อุดมเอ่ยปากกับผมว่า
"ชาติไปอยู่กับพี่ไหม?..."
เอ...วันนี้รู้สึกว่าผมจะเขียนมาเกินโควต้าแล้วมั้ง
เอาไว้พรุ่งนี้มาเล่าต่อดีกว่านะครับ...
+++++++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 ธันวาคม 2017, 19:11:07 โดย มนัส กิ่งจันทร์ »
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 17 โดย พี่ชาติ อธิษฐาน

คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
วันนี้ มีรูปใบปิดหนัง ดอกอ้อ กับ งูเกงกอง
หนังสองเรื่องนี้ เป็นจุดหักเหแห่งชีวิตของผม จะเล่าให้ฟัง
+++++++++++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 17
..........................
หลังจากคุยกับพี่อุดม วาทศิลป์ แล้ว
ผมก็กลับมาหาเฮียตี๋ ขอคุยกันลำพังเราสองคน
ผมบอกกับเฮียตี๋ว่า จะไปอยู่กับกัญญามาลย์ภาพยนตร์
เพราะที่อุษาฟิล์มไม่มีหนังใหม่เข้ามา อาทิตย์หนึ่ง มีงาน
แค่วันสองวัน ผมไม่พอกินพอใช้ ผมมีลูก 4 คนแล้ว รวมลูกบุญธรรมอีก 1 ก็เป็น 5 คน ที่ต้องกิน ต้องเรียน แถมยังต้อง
ส่งให้พ่อแม่ใช้อีกเดือนละ 1 พันบาท (สมัยนั้นทองคำบาทละ
ห้าร้อย)
เฮียตี๋นั่งซึมไปชั่วครู่ แล้วก็ถอนหายใจ ก่อนจะพูดว่า
ตามใจชาติ ทุกคนต้องทำเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง
เฮียยอมรับว่า ตอนนี้บริษัทเราแย่ หนังหลายเรื่องที่ลงสปอนเซอร์ไป ทำรายได้น้อยจนเรียกได้ว่าขาดทุน เฮียยังไม่รู้จะแก้ทางไหนดี ชาติจะไปเฮียก็ไม่ว่า...แต่
หากวันใดเฮียฟื้นตัวได้ ชาติต้องสัญญาว่า จะกลับมาช่วยเฮียอีก ที่จริงเฮียยังมีน้องชายลูกคนละแม่อีกสองคน แต่เฮียบอกตรงๆ เฮียรักชาติมากกว่าน้องสองคนนั้นเสียอีก...
ที่สุด...
พระพรหมก็ลิขิตให้ผมย้ายสังกัดมาอยู่กับกัญญามาลย์ภาพยนตร์ สำนักงานอยู่ที่ถนนหลานหลวง เลยวัดแค วัดยิ่งใหญ่ที่จัดงานศพมิตรไปเล็กน้อย
กัญญามาล์ภาพยนตร์ แยกตัวออกมาจากวัชรภาพยนตร์
วัชรภาพยนตร์ ดำเนินงานโดยพี่แจ่ม จินตนา กุหลาบทิพย์
ลูกสาวคนที่สองของลุงเล็กนั่นเอง ช่วงนั้น นักสร้างไหนๆต่างก็พยายามส่งหนังของตัวเองเข้าสังกัดจัดจำหน่ายโดย วัชรภาพยนตร์ ที่นี่ เงินหนามากๆ นายทุนใหญ่ของวัชรภาพยตร์ก็คือ คุณกำพล วัชรพล เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐที่โด่งดังสุดยอดในเวลานั้น...
กัญญามาลย์ภาพยนตร์ มี คุณชิต ชนะโชติ เป็นบุ๊กเกอร์ ซึ่ง
ในยุคนั้น คุณชิตเป็นมือหนึ่งของบุ๊กเกอร์ในเมืองไทย คุณชิด
มีเพื่อนเป็นเจ้าของโรงหนังใหญ่ๆอยู่ทุกจังหวัดในประเทศไทย คุณชิตจึงวางบุ๊กหนังให้ฉายในวันสำคัญๆ หรือวันเทศกาลปีใหม่ ตรุษจีน สาร์ทจีน เจ้าของโรงเหล่านั้นจะยินดีเสมอ...
ที่สำคัญ...
เมื่อเจ้าของหนังคนใดจะเปิดกล้อง คุณชิตจะแจ้งให้เพื่อนเจ้าของโรงส่งเงินสปอนเซอร์มาให้ล่วงหน้า เมื่อหนังเสร็จ
ก็จะส่งให้โรงนั้นๆฉาย เพื่อหักเงินคืน รวมๆแล้ว เจ้าของหนังที่เอาหนังมาให้คุณคุณชิตวางบุ๊ก จะเปิดกล้องแต่ละเรื่อง แทบไม่ต้องควักเนื้อเลย...
คุณชิต ชนะโชติ มีบ้านอยู่แถวถนนจันทร์ ทุกปี คุณชิตจะจัดงานทำบุญบ้าน วันนั้น จะเป็นวันรวบรวมเจ้าของโรงและเจ้าของหนังจากทั่วประเทศมาร่วมทำบุญด้วย และผม...ก็ไม่เคยพลาดทุกปี
(ต่อมา คุณชิตคนนี้แหละ ที่ออกจากกัญญามาลย์ มาช่วยเสี่ยเจียง ก่อร่างสร้าง สหมงคลฟิล์ม จนโด่งดังไปถึงต่างประเทศ)
ผมมาอยู่กับกัญญามาลย์ภาพยนตร์ ได้เริ่มพากย์เรื่อง "กบเต้น" ฉายต้อนรับสาร์ทจีน โดยคุณชิตมอบหมายให้ผมพากย์สายตะวันออก สตาร์ทที่โรงหนัง เฉลิมจันท์ จันทบุรี ของเจ๊สุมาลี...
หนังดอกดินทุกเรื่อง จะเน้นที่ความสนุกสนานเฮฮาผสมบทบู้ตื่นเต้น เรียกว่ามีครบทุกรส ฉายพากย์ประเดิมเรื่องแรก และฉายโรงแรกที่จันทบุรี หนังเรื่องนี้ทำรายได้ดี พอจบโปรแกรม
เจ๊สุมาลีให้โบนัสพิเศษมา 5 พันบาท (สมัยทองคำบาทละ 500)
เดินสายตะวันออก เริ่มจากจันทบุรี, ไปที่ตราด, แล้วกลับมาชลบุรี, ไปฉะเชิงเทรา, ปราจีนบุรี, นครนายก, แล้วก็กลับมาบริษัท นอนรอบุ๊กหลังจากหนังหมดโรงชั้นหนึ่งที่คาเธย์ ก็จะมีบุ๊กเข้าโรงชั้นสอง...
จากคำชมของเจ๊สุมาลี ทำให้คุณชิตไว้ใจการพากย์ของผม
เมื่อหนังเข้าโรงชั้นสองในกรุงเทพฯ คุณชิตจะจัดให้ผมพากย์โรงที่สำคัญๆ ซึ่งส่วนมากจะเพิ่มรอบทุกแห่ง ผมก็เหนื่อยเป็นพิเศษทุกแห่ง เหนื่อยแบบหน้าแห้งๆ เพราะโรงในกรุงเทพฯ
ไม่มีเงินโบนัส ไม่เหมือนต่างจังหวัด...
จนมาถึงเรื่อง "ไทยน้อย" ตอนที่กำลังถ่ายทำอยู่ในโรงถ่ายกัญญามาลย์ที่ซอยโชคชัย 4 น้าดินหรือดอกดิน ได้สั่งให้ผมเข้าไปช่วยงาน แล้วก็เข้าฉากร่วม ในฉากตอนไวพจน์ เพชรสุพรรณ ร้องเพลงไทยน้อย กล้องก็กวาดไปตามคนดู ซึ่งผมนั่งอยู่แถวหน้า...
เพลงร้องไปได้สักหน่อย ผมก็ลุกขึ้นยืน ชี้มือไปทางด้านข้าง แล้วร้องว่าไฟไหม้ ไฟไหม้ จากนั้นผู้คนก็วิ่งกันกระเจิดกระเจิง
ไปช่วยกันดับไฟ ทุกครั้ง น้าดินจะมีค่าแรงให้เสมอ...
อย่างที่ว่า...
คุณชิตเป็นบุ๊กเกอร์มือ 1 ที่มีเพื่อนๆเอาหนังมาให้คุณชิตทำบุ๊กให้ ไม่ว่าจะเป็น "เรือมนุษย์" ของคุณอุทธรณ์ พลกุล แห่งไทยรัฐ หนังของ ชรินทร์ นันทนาคร และอีกหลายๆคน หลายๆเรื่อง และทุกเรื่อง คุณชิตจะเรียกใช้ผมก่อนคนอื่น ผมเองเคยเปรยๆว่า สายเหนือก็เคยไปมาแล้ว สายอีสาน สายตะวันออก สายแปดจังหวัด เคยไปมาหมด ยังแต่สายใต้เท่านั้น
นั่นเอง...
พอมาถึงหนังเรื่อง "ลูกปลา" คุณชิตจึงวางบุ๊กให้ผมลงไปพากย์สายใต้
ตอนลงมาพากย์ที่สงขลา ผมมีโอกาส จึงชวนเช็กเกอร์เหมารถไปที่วัดช้างให้ นมัสการรูปหล่อหลวงปู่ทวด แล้วก็มาที่แผงพระ เห็นพระเครื่องหลวงปู่ทวดรุ่นปี 2503 วางไว้ให้เช่า ผมก็เลือกมาได้เกือบสิบองค์ กะจะฝากลูก ฝากหลาน และบางคนที่เรารัก แต่คุณภาวนากลับว่า
"จะบ้าเหรอ เอาไปทำไมตั้งสิบกว่าองค์"
แล้วก็แย่งพระจากมือผมโยนกลับเข้าไปที่ถาด
นั่นเป็นการพลาดโอกาสที่ไม่น่าให้อภัย เพราะปัจจุบัน หลวง
ปู่ทวดรุ่นนั้น องค์ละเป็นล้านไปแล้ว...
จากนั้นก็เลยไปพากย์ที่ปัตตานี ที่นี่ ผมมีโอกาสพบกับพี่เหน่
เสน่ห์ โกมารชุน ได้ทักทายกัน และคุยกัน...
เรื่องที่ผมเรียก เสน่ห์ โกมารชุนว่า "พี่" นี้ มีนักพากย์ใหญ่คนหนึ่งหาว่าผมกำเริบ เรียกเสน่ห์ว่าพี่ ในขณะที่นักพากย์ทุกคนเรียกว่า "ป๋า" กันทั้งนั้น...
เรื่องนี้มันมีที่มา
คือ...วันที่พี่เหน่ไปซ้อมหนังเรื่องกำไลหยกที่อุษาฟิล์ม ผมเป็นเป็นคนฉายหนังให้แกดู พูดกับแกโดยเรียกว่าป๋าเหมือนคนอื่น พี่เหน่หันมาต่อว่าผม ยังจำได้
"โธ่เว้ย เรียกป๋าอีกคนแล้ว กูยังไม่แก่นะเว้ย อายุมากกว่าเอ็งไม่เท่าไหร่ ทำไมไม่เรียกพี่วะ เรียกป๋า ดูมันแก่ไปว่ะ"
นั่นแหละ ที่ทำให้ผมเรียก เสน่ห์ โกมารชุนว่า "พี่เหน่" เสมอมา
และ...ต่อมา
เมื่อผมเดินทางมาที่ภูเก็ต
มงคลชีวิตขั้นสูงสุดก็บังเกิดแก่ผมเป็นครั้งที่สอง
วันนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พร้อมด้วยเจ้าฟ้าชาย ขณะกำลังทรงพระเยาว์ ได้เสด็จไปที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต ผมกับคุณภาวนาก็ได้ไปนั่งรอรับเสด็จอยู่ด้วยความปลาบปลื้มเปี่ยมมงคล
นี่เป็นครั้งที่สอง ที่ผมมีโอกาสเฝ้ารับเสด็จ ครั้งแรก ปีไหนผมจำไม่ได้แล้ว จำได้แตว่าตอนนั้นยังอยู่ที่ท่าพระจันทร์ เราได้ข่าว ว่าในหลวงราชินีจะเสด็จออกพบประชาชนที่สีหบัญชรด้านตะวันออกของพระบรมมหาราชวัง ผมกับคุณภาวนาก็ได้ไปนั่งรอเฝ้า จนสองพระองค์เสด็จออกมา...
กลับจากพากย์เรื่องลูกปลาเดินสายใต้แล้ว อยู่มาไม่นาน ก็มาถึงหนังอีกเรื่อง ที่ทำให้นักพากย์ใหญ่คนหนึ่งเกลียดขี้หน้าผม
"ม้ามืด"
คือหนังเรื่องนั้น...
ก่อนออกเดินสาย น้าดินจะเรียกนักพากย์ทุกคนเข้าไปซ้อมหนังที่บ้านซอยโชคชัย 4 แจกบทพากย์แล้วก็ฉายหนังให้ดู
หนังจบก็มีการเลี้ยงข้าวกันหนึ่งมื้อ จากนั้นก็ฉายรอบสอง
แล้วบอกกับนักพากย์ทุกคนว่า
"ใครมีมุขอะไรดีๆก็ใส่ลงไปเลย เพื่อช่วยให้หนังสนุกขึ้น แล้วก็อย่าลืม หาทางคุยกับคนดูด้วยว่า เรื่องต่อไปอยากให้ดอกดินสร้างหนังแบบไหน หมดโปรแกรมแล้วเราจะกลับมาคุยกัน"
เมื่อดอกดินบอกว่าให้ใส่มุขได้ตามใจ ผมก็สังเกตว่าหนังเรื่องม้ามืด เริ่มด้วยฉากการเดินแฟชั่น แต่ไม่มีคำบรรยาย เพียงแต่เปิดเพลงเย็นๆคลอไปเท่านั้น ผมเห็นช่อง ก็ใช้สมองตนเองทันที...
หนังเริ่มต้นที่นางแบบเดินแฟชั่นชุดซีทรู หรือชุดโปร่งแสง
ผมก็ใส่คำบรรยายเป็นเสียงโฆษกไปว่า
"ขอเสนอ ชุดซีทรู ชุดนี้กำลังฮิต ราคาออกจะแพงหน่อย แต่
ไม่ต้องลงทุนมาก แคเอาผ้ามุ้งเก่าๆที่ไม่ใช้แล้ว มาซักและย้อมสีตามชอบ แล้วตัดเย็บเป็นชุดมาใส่ ให้ชื่อว่าชุด มุ้งจงเจริญ..."
ก็...ได้เสียงเฮฮาไปไม่น้อย
มุขนี้..สร้างเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อเจ๊สุมาลีชมไปกับดอกดิน ดอกดินถึงกับออกปากจะให้ผมขึ้นพากย์แก้เสียงเทปที่โรงหนังคาเธ่ย์ จนนักพากย์ใหญ่คนนั้นออกมาว้าก ว่าถ้าใครพากย์ทับเสียงเขา เขาจะไม่มาพากย์หนังให้ดอกดินอีกเลย
ก็...เป็นเรื่องเป็นราวไปเล็กน้อย
แล้วก็มาถึงจุดสำคัญ...
เมื่อผมไปพากย์ "ดอกอ้อ" เดินสายกลับมาแล้ว ก็ปรึกษากับ
คุณภาวนาว่า เราควรซื้อบ้านเป็นของตนเองได้แล้ว เราไปดูบ้านหลังหนึ่งที่ซอยโรงเคลือบ ท่าพระ ก็ตกลงว่าจะซื้อ แต่
เงินไม่พอ จึงมาออกปากกับพี่หนู บรรจง กัญญามาลย์ ภรรยา
ของน้าดิน ซึ่งท่านก็เมตตาให้ยืมเงินล่วงหน้า มาจ่ายเป็นค่าบ้านได้สมหวัง แล้วผมก็เขียนป้ายชื่อบ้านว่า
"บ้านดอกอ้อ"
เพราะซื้อด้วยเงินที่พากย์หนังเรื่องดอกอ้อ...
ดังที่บอกไว้ว่า
คุณชิตมักจะมีหนังนอกเข้ามาให้วางบุ๊กบ่อยๆ
จึงวันหนึ่ง คุณชิตเรียกผมไปพบ บอกว่าให้ช่วยหน่อย เถ้าแก่ดุสิต (ต่อมาคือ นครหลวงโปรโมชั่น) เช่าหนังเขมรมาหนึ่งเรื่อง ให้วางบุ๊กไปสายตะวันออก แต่เหตุที่มันเป็นหนังเขมร
คนไทยคงไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เกรงว่ารายได้จะไม่ดี จึงอยากได้นักพากย์ราคาถูก วันละ 250 บาท หักให้เด็กแบคกราวด์ 50 บาทก็เหลือเพียง 200 บาทเท่านั้น ถูกกว่าค่าพากย์ของดอกดินไป 100 บาท ชาติช่วยไปพากย์เดินสายให้พี่หน่อย และ
ตอนนี้หนังดอกดินก็ยังไม่มีออกมา เพราะดอกดินจะสร้างหนังปีละสองเรื่อง ฉายรับตรุษจีนกับสาร์ทจีนเท่านั้น ถ้าไม่ไปก็ต้องอยู่ว่าง
ผมตัดสินใจไปทันที ดีกว่ายู่ว่างๆ
หนังเรื่องนั้นเป็นหนังเขมร คือ
"งูเกงกอง"
สตาร์ทที่โรงเฉลิมจันท์ จันทบุรี ทำรายได้ไม่ดีเท่าที่ควร
แต่พอไปถึงจังหวัดตราด กลับต้องเพิ่มรอบ เพิ่มวันขึ้นอีก
จากนั้นก็ย้อนกับขึ้นมาชลบุรี ฉะเชิงเทรา ทุกแห่งต้องเพิ่มรอบเพิ่มวันกันอุตลุด
และ...ที่ อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี
หนังจบรอบดึกแล้ว แต่ยังมีคนที่เข้าดูไม่ได้อีกตั้งร้อยกว่าคน
ทางโรงได้มาขอร้องว่า ขอเพิ่มอีกหนึ่งรอบ ผมเองเหนื่อยก็เหนื่อย กำลังลังเลอยู่ ก็มีผู้หญิงผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่ง บุกเข้ามาหาผม พูดว่า
"คุณนักพากย์ ช่วยอีกรอบนะ พวกเรามาจากบ้านนอกๆเมือง
ต้องเหมารถเขามา ถ้าไม่ได้ดู เราก็เสียเงินเปล่า พี่นักพากย์ช่วยหน่อยนะ เดี๋ยวจะไปซื้อกาแฟมาให้กินแก้ง่วง"
"ตกลงครับ"
ผมตอบโดยไม่ต้องคิด เพราะสงสารพวกเขาที่อุตส่าห์ตั้งใจมา แล้วไม่ได้ดู มันเป็นภาวะที่แย่มากๆ
จบรอบนั้นแล้ว ผมก็ได้โบนัสมาอีกสามร้อยบาท...
กิติศัพย์การพากย์งูเกงกอง ดังไปถึงหูของเถ้าแก่ดุสิต เมื่อหนังเรื่องงูเกงกองเข้าฉายที่โรงหนัง เฉลิมศรี พระประแดงของเถ้าแก่เอง ท่านก็สั่งคุณชิต ให้ผมไปพากย์ที่เฉลิมศรี
โปรแกรมนั้น ตอนแรกวางวันฉายไว้เพียง 5 วัน แต่คนดูแน่นทุกรอบ ต้องเพิ่มรอบเช้าทุกวันแม้วันธรรมดา แล้วก็เพิ่มวันฉาย ไปๆมาๆ งูเกงกองฉายที่เฉลิมศรีพระประแดงถึง 14 วัน
สร้างความประทับใจให้กับเถ้าแก่ดุสิตเป็นอย่างมาก
ชีวิตผม...ไม่แน่ไม่นอน
เมื่อดอกดินเริ่มหันไปสร้างหนังในระบบ 35 ม.ม. งานพากย์ของผมก็เริ่มลดน้อยลง เพราะน้าดินใช้บันทึกเสียงลงฟิล์มแบบมาตรฐาน บรรดานักพากย์เริ่มระส่ำระสาย ผมเองก็เริ่มใจไม่ค่อยดี จะกลับไปพากย์กลางแปลงหรือก็อายพวกเพื่อนๆ
เรามาไกลจนถึงได้พากย์กับกัญญามาลย์ภาพยตร์แล้ว จะกลับไปอยู่กลางแปลงอีก ดูมันจะถอยหลังลงคลองไปนะ
ขณะกำลังคิดมากอยู่นั้นเอง
คุณชิตก็เรียกไปพบเป็นการส่วนตัว
บอกว่า เถ้าแก่ดุสิตจะเปลียนนักพากย์ประจำโรง
แล้วก็อยากได้ผมกับคุณภาวนาไปพากย์ประจำที่เฉลิมศรี พระประแดง แล้วก็มีอีกโรงหนึ่ง คือ ดุสิตเธียเตอร์ เขตดุสิต
พากย์ประจำโรง มีแต่หนังฝรั่ง หนังจีน หนังอินเดีย มีเสียงซาวน์ ไม่ต้องใช้เด็กแบคกราวด์เหมือนหนังไทย พากย์แค่วันเดียวหรืออาจจะสองวันแล้วอัดเทป นอกนั้นใช้เด็กเปิดเทป เราก็มีเวลาว่างไปรับงานอื่นได้ ตกลงทำงานแค่อาทิตย์ละสองวันเท่านั้น
ชาติไปนะ...
อยู่กับเถ้าแก่ดุสิตรับรองชาติจะรุ่งยิ่งกว่าเดิม...
เอาอีกแล้ว...
พระพรหมหักเหชีวิตของผมอีกแล้ว
จะอยู่ที่เก่าก็ไม่ไหว จะไปที่ใหม่ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจ
ผมจะทำอย่างไร จะตัดสินใจยังไง ไว้พรุ่งนี่มาเล่าต่อครับ...
+++++++++++++++++++++++++++++++
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 18 โดย พี่ชาติ อธิษฐาน
6 ธ.ค. 60
คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
รูปใหม่ที่มาลงนี้ ผมถ่ายที่ร้านถ่ายรูปหน้าโรงหนังเฉลิมศรี
แล้วก็ภาพหน้าโรงหนังเฉลิมศรี กับ ศรีสยาม ตำนานใหม่
ของผม...
++++++++++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 18
.....................................
ในที่สุด...
ผมก็ยอมทำตามคำขอร้องของคุณชิต
เพราะเชื่อใจว่า ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ คุณชิตเมตตาผมมาก
แล้วคุณชิตก็สนิทสนมกับเถ้าแก่ดุสิตเป็นอย่างมาก จึง
เป็นธรรมดา ที่คนรักกันชอบกัน จะมอบแต่สิ่งดีๆให้กัน
แล้วผมก็ย้ายตัวเองมาอยู่กับเถ้าแก่ดุสิต โดยไม่ได้บอก
กับน้าดินหรือใครๆ เพราะตอนนั้น กัญญามาลย์ภาพยนตร์เริ่ม
สร้างหนัง 35 ม.ม. (ลืมชื่อเรื่อง) ไม่มีใครสนใจนักพากย์แล้ว
เถ้าแก่ดุสิต..
เป็นคนจีน ชื่อจีนของท่านคือ "ไหลบักชุ้ง"
ก็คือ ชื่อ บักชุ้ง แซ่ไหล นั่นเอง
ท่านมีลูกชาย 3 คน ลูกสาว 2 คน หนึ่งในสามของลูกชายท่านคือ คุณสุชาติ วิศิษฐ์พุทธินันท์ ที่ต่อมาคือ เจ้าของค่าย
มวย นครหลวงโปรโมชั่น และผู้สร้างนักมวยระดับแชมป์โลกมากมายหลายคนนั่นเอง
ประเดิมพากย์ครั้งแรก
ที่โรงหนัง เฉลิมศรี พระประแดง
เป็นหนังจีนควบกับหนั่งฝรั่ง (ลืมชื่อเรื่องไปแล้ว)
ผมไม่มีเวลาซ้อมหนังก่อนพากย์ เริ่มต้นก็พากย์สดๆไปเลย
รอบแรก....ผิดหวังมาก พากย์ตรงมั่งไม่ตรงมั่ง แถมไม่มีลูกเล่นอะไรใส่ในหนังเหมือนนักพากย์โรงชั้นสองอื่นๆที่ดังๆ
หนังเลิกตอนบ่าย ผมกับคุณภาวนาเอาบทมานั่งอ่านทบทวน
หาจุดด้อยของการพากย์ว่าขาดตกบกพร่องตรงไหน
แล้วก็...แจ๊กพอต...
เสียงเด็กโรงหนังที่กำลังกวาดขยะในโรงบ่นให้ได้ยินเข้าหูว่า
"นักพากย์คู่นี้ไม่เอาไหนเลยว่ะ พากย์ไม่ค่อยตรง แล้วก็ไม่มีลูกเล่นอะไรเลย..."
แปล๊บเข้าไปในหัวใจ...
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตการพากย์หนังของผม
ที่ได้ยินเสียงตำหนิดังมาเข้าหูตรงๆ ทำให้ผมเริ่มคิดใหม่
สงสัยว่าไอ้การพากย์ประจำโรงนี้มันคงไม่เหมาะกับผมแน่
ขืนอยู่ไป พากย์ให้คนตำหนิอย่างนี้เรื่อยไป น่าอับอายที่สุด
ในชีวิตการพากย์ของผม มีแต่ได้รับคำชม เมื่อมาเจอคำติมัน
ก็เลยทนไม่ได้...
อย่ากระนั้นเลย
กลับไปหากินกับหนังไทยดีกว่า
แม้หนังไทยกำลังจะหันเหไปหา 35 ม.ม.เสียงในฟิล์ม แต่งาน
กลางแปลงแถวหลังเฉลิมกรุงก็ยังพอมี คงไม่ถึงกับอดตายหรอก ปรึกษากับคุณภาวนา เธอก็ตอบเพียงว่า ตามใจพี่...
คืนนั้น...
หลังจากพากย์เสร็จลงมาข้างล่าง
เจอเถ้าแก่กำลังจะกลับบ้านที่ดุสิตเธอเตอร์
ท่านเรียกผมขึ้นรถ แล้วบอกว่าจะไปส่งที่บ้าน ไม่ต้องเสียค่าแท็กซี่ ถามว่าบ้านอยู่ไหน ผมก็บอกว่า อยู่ซอยโรงเคลือบ ฝั่ง
ตรงข้ามวัดท่าพระ ถนนจรัลสนิทสงศ์
แล้วผมก็นั่งรถมากับท่าน
พอได้จังหวะ ผมก็บอกกับเถ้าแก่ว่า จะขอพากย์ที่เฉลิมศรีแค่
โปรแกรมนี้เท่านั้น ต่อไปผมไม่มาอีกแล้วนะ ขอลาออกเลย
"ผมพากย์หนังโรงไม่ได้แล้ว ผมไม่สู้แล้ว"
ผมบอกไปอย่างนั้น แล้วก็มีคำพูดลึกๆคมๆจากปากเถ้าแก่ออกมาว่า
"ตามใจอาเฮีย..."
เถ้าแก่จะเรียกผมว่าอาเฮียทุกคำ ทั้งที่ท่านแก่กว่าผมมาก
"ลื้อไม่พากย์ อั๊วไปจ้างใครพากย์ก็ได้ นักพากย์มีเยอะไป แต่อั๊วเห็นลื้อเป็นคนดีก็อยากให้มาอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อลื้อไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร...
ขอให้รู้ว่าลื้อไม่สู้เท่านั้น..."
คำพูดทิ้งท้ายของเถ้าแก่ดุสิตทำให้ผมคิดมาก
"ขอให้รู้ว่าลื้อไม่สู้เท่านั้น..."
คืนนั้นผมนอนไม่หลับแทบทั้งคืน นึกถึงแต่คำพูดของเถ้าแก่
"ขอให้รู้ว่าลื้อไม่สู้เท่านั้น..."
นอนพลิกไปพลิกมา แล้วถามตัวเองว่า
"คนอย่างเราหรือไม่สู้...
ที่จริงเราสู้มาตลอดเวลา สู้ตั้งแต่เป็นเด็กแจกใบปลิว หัดฉายหนัง หัดพูดโฆษณา แล้วก็หัดพากย์หนัง เราสู้ และได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากมาย...
อย่างเช่น
ตอนอยู่กุหลาบทิพย์
คืนหนึ่ง...เดินทางไปพากย์หนังที่วิกตลาดบางพลี
เจอเด็กฉายหนังจอมกวนที่ไปด้วยกัน ฉายหนังไปเล่นไป
ที่พากย์หนังกับที่ตั้งเครื่องฉายอยู่ติดกัน แล้วที่นั่งคนดูที่อยู่ชั้นเดียวกันอีกมากมาย เจ้าเด้กนั่นส่งเสียงรบกวนการพากย์ ผมก็หันไปเตือน เท่านั้นแหละ
ไอ้เด็กนั่นตะคอกใส่ผม แล้วว่า
"งั้นมึงฉายเองแล้วกัน..."
พอพูดจบ มันปิดเครื่อง เอาหนังออกจากเครื่อง แล้วผลุนผลันลงจากที่ฉายลงไปข้างล่าง
คนดูต่างงงกันใหญ่ พึมพำว่า หนังยังไม่จบเลย มีบทบู๊นอกจอแล้ว แล้วใครจะฉายต่อ ยังงี้ต้องคืนเงิน
ผมลุกขึ้นยืนพูดไมค์ว่าไม่ต้องห่วงครับ ผมรับผิดชอบเอง
แล้วผมก็ถือไมค์ลากสายติดตัวไป จัดการเอาหนังใส่เครื่อง
ซึ่งมันไม่ยากเลย เพราะผมหัดฉายหนังมาจนคล่องตั้งแต่ตอนที่อยู่ทุ่งโพธิ์นั่นแล้ว ผมใส่หนังเสร็จก็ฉาย แล้วก็ยืนพากย์มันข้างเครื่องฉายโดยไม่ต้องดูบท เพราะหนังเรื่องนั้นพากย์มาจนคล่องแล้ว ท่ามกลางเสียงปรบมือชอบใจของคนดูชาวบางพลีในคืนนั้น...
นั่น...เป็นการสู้หนึ่งในหลายๆครั้งของผม
แล้วมาหนนี้ ผมจะถอดใจไม่สู้ได้ง่ายๆอย่างไร
คนอย่างเราสู้มาตลอด จนก้าวมาถึงนี่แล้ว จะถอดใจได้อย่างไร
พอคิดได้ก็ตัดสินใจ
"เราต้องสู้..."
แล้วผมก็หลับไปในช่วงก่อนสว่างของคืนนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้น
ผมบอกกับคุณภาวนาว่า
จะย้อนกลับไปหาเถ้าแก่อีกครั้ง กลับไปขอสู้ใหม่
ให้เธออาบน้ำแต่งตัวไปพร้อมกันเดี๋ยวนั้นเลย
ผมมาพบเถ้าแก่ที่ร้าน "ดุสิตภาพยนตร์" หลังเฉลิมกรุง
เข้าไปยกมือไหว้เถ้าแก่ แล้วบอกกับเถ้าแก่ว่า ที่เมื่อคืนผมบอกว่าไม่สู้น่ะ ผมกลับไปนอนคิดทั้งคืน ชีวิตผมสู้มาตลอด
ผมไม่เคยยอมแพ้ ครั้งนี้ผมก็จะสู้
"ผมขอเวลากลับมาสู้ เถ้าแก่จะว่ายังไงครับ..."
เถ้าแก่ไม่พูดอะไร แต่หันไปสั่งลูกชายคนโตว่า
"ไอ้จั๊ว เอารถออก ไปส่งอาเฮียที่พระประแดงเดี๋ยวนี้..."
แล้วหันมาบอกผมว่า
"อั้วสนับสนุนคนสู้ทุกคน ไป กลับไปดว่าเราบกพร่องตรงไหน
จะแก้ไขอย่างไร ถ้าขาดเหลืออะไร หรืออยากได้อะไรเพิ่ม บอกกับอาฮุย (ลูกชายคนรองของเถ้าแก่ คือคุณสุชาติ ที่เป็นคนดูแลโรงหนังเฉลิมศรีอยู่ตอนนั้น) แล้วอั๊วจะจัดการให้ทุกอย่าง ไปเลย ขอให้โชคดีนะ...
แล้ววันแห่งการต่อสู้ของผมก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง
ผมกลับมานั่งดูหนัง ว่าเราพากย์บกพร่องตรงไหน
และตรงไหน ที่เราควรเสริมมุขตลกตามแบบนักพากย์โรงชั้นสอง แล้วคืนนั้น ผมก็พากย์แก้เทปอีกครั้ง...
พอวันรุ่งขึ้น ผมก็พาคุณภาวนาไปตระเวนดูหนังโรงชั้นสอง
ที่แถวบางลำพูบ้าง ตลาดพลูบ้าง ดูแล้วสังเกต-จดจำวิธีการพากย์ของนักพากย์โรงชั้นสองที่ดังๆในยุคนั้น เช่น
เทพกวี - ศรีรัตน์
จินรัตน์ - ถนิมนันท์
และ เทพปฏิมา - วลีรัตน์
โปรแกรมต่อมา ก็พยายามพัฒนาตัวเอง บทพากย์ตรงไหน
ที่ทำให้คนดูงง ก็เปลี่ยนคำพุดให้ฟังง่าย และที่สำคัญ ต้อง
หามุขตลกมาสอดแทรกทุกช่วงทุกตอน อย่าปล่อยให้ว่าง
อย่างเช่น เรื่องบัญญัติ 10 ประการ
ตอนที่โมเสสอพยพชาวชาวยิวหนีออกจากอียิปต์
คนแก่คนหนึ่งนั่งบนคานหาม
กำลังยกมือทำความเคารพพระเจ้า ผมก็สอดทันที
"พระเจ้า โปรดประทานกำลังคืนให้แก่ข้า เฮอร์คิวลิสด้วยเถิด"
ก็ได้เสียงฮาใหญ่ๆ
จนมาถึงหนังจีนเรื่อง "เดชไอ้ด้วย ภาค2"
เมื่อสำนักมวยของอาจารย์ถูกศิษย์ทรยศ ยึดครอง พวกศิษย์ทั้งหลายก็เดินทางมาหาพระเอก คือ อากัง ให้กลับไปช่วยกู้สำนักคืน อากังบอกว่า เรื่องนี้ต้องไปถามเมียเขาดูก่อนว่าจะให้ไปหรือไม่ แล้วผมก็หยอดทิ้งท้าย เรียกว่า "ปูทาง" ไปว่า
"ข้าต้องทำตามที่เมียข้าสั่ง เพราะเมียข้าใหญ่"
แล้วมีเสียงตัวประกอบสอดมาว่า
"เมียมันจะใหญ่สักแค่ไหนวะ"
ภาพตัดมา เป็นคณะทั้งหมดออกเดินทางเพราะเมียอากังไม่ขัดข้อง ในภาพ เมียอากังนั่งอยู่บนแคร่ โดยมีศิษย์ผู้น้อง 4 คนหาม ผมก็ตบท้ายด้วยเสียงตัวประกอบเสียงเดิมว่า
"กูว่าแล้ว เมียมันใหญ่จริงๆ ถึงขนาดต้องใช่ 4 คนหามเลยละ"
เท่านั้นแหละ เสียงฮาโห่ก็กระหึ่มไปทั้งโรง
นอกจากนั้น...ก็ยังมีมุขที่เล่นกับคนดู
อย่างในเรื่อง "แค้นไอ้ด้วน" ที่นำแสดงโดย เดวิด เจียง
พระเอกแพ้คู่ต่อสู้ จึงตัดแขนขวาทิ้งตามคำสัญญา แล้วเลิกลาจากยุทธจักร มาเป็นบ๋อยที่ร้านอาหาร ถูกพวกผู้ร้ายกลั่นแกล้งต่างๆนานา นางเอก (ลี่ชิง) เห็นเข้าก็สงสาร จึงแอบไปขโมยดาบพ่อ ซึ่งอดีตเป็นจอมยุทธ แต่ได้เก็บดาบแล้ว พอนางเอกเดินเข้าห้องเก็บดาบผมก็บรรยายเสริมทันที
"นางเห็นเขาไม่มีอาวุธ ถูกข่มเหงตลอดเวลา จึงนึกสงสาร
แอบเข้ามาจะขโมยดาบพ่อไปให้เขาได้ต่อสู้กับคนร้าย นาง คิดแต่เพียงสงสารเขาเท่านั้น แต่นางหารู้ไม่ว่า
ไอ้ความสงสารนี่แหละ มันเป็นต้นเหตุแห่งความรักละ ดังนั้น คุณผู้ชายทั้งหลายที่นั่งดูอยู่นี่ก็โปรดจำไว้ด้วยว่า หากมีผู้หญิงคนไหนมาบอกว่าสงสารท่านละก็ ขอให้โมเมเอาได้เลยว่า ผู้หญิงคนนั้น หลงรักท่านเข้าแล้ว..."
เท่านั้นแหละ โรงแทบแตกเลย...
และอีกเรื่องหนึ่ง
หนังจีนเรื่อง "ผีกัดอย่ากัดตอบ ภาค 3"
หนังเข้าฉายต้อนรับวันลอยกระทงพอดี ในเรื่องคือ
คณะหมอผีตามไล่ล่าจะจับตัวไอ้ผีกระโดด แต่ตามล่ายังไงก็ไม่เจอ ในที่สุดอาจารย์บอกเลิกตาม ดึกแล้ว กลับกันก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เรามาดักจับมันใหม่ ต้องได้ตัวแน่"
ลูกศิษย์ก็ถามว่า อาจารย์รู้ได้ไงว่าพรุ่งนี้ไอ้ผีนั่นมันจะออกมา
ผมก็ยิงมุขใส่ทันที
"เพราะพรุ่งนี้เป็นวันลอยกระทง ไอ้ผีนั่นมันต้องออกมาลอยกระทง เราต้องจับมันได้แน่..."
ก็ได้เสียงไชโยโห่ฮิ้วอย่างมากมายทีเดียว
แล้วก็มีหนังกำลังภายในเรื่องหนึ่ง หัวหน้าผู้ร้ายฟันดาบกับนางเอก แต่นางเอกเก่งมาก ไม่อยากฆ่าให้ตาย จึงใช้ลีลาเพลงดาบฟันเอาเสื้อผ้าของหัวหน้าผู้ร้ายขาดกะรุ่งกะริ่ง
เจ้าผู้ร้ายหยุด ก้มลงมองดูเสื้อผ้าตัวเอง ผมก็สอดมุขลงไปว่า
"หมดเลย ชุดเก่งของข้าขาดหมดเลย ชุดนี้อุตส่าห์ตัดมาจากร้านสูทจิ๊กโก๋เชียวนะนี่.."
ผมไม่รู้ว่าท่ามกลางเสียงฮาของคนดู มีเจ้าของร้านตัดเสื้อผ้า สูทจิ๊กโก๋ ร้านดังของพระประแดงก็มานั่งดูอยู่ด้วย
วันรุ่งขึ้น ก็มีเด็กมาบอกว่า เจ้าของร้านสูทจิ๊กโก๋เชิญไปพบ
แล้วท่านก็มอบรางวัลผ้าตัดชุดสูทอย่างดีมาให้เป็นรางวัล
มุขแบบนี้ เขาเรียกว่า "มุขเล่นกับคนดู"
การทำงานของผมดีวันดีคืน
จนเถ้าแก่เรียกไปพบ แจ้งข่าวดีว่า
ตลอดเวลาที่ลื้อมาอยู่ อั้วกำไรดี และจะสร้างโรงเพิ่มอีก
ซึ่งต่อมา ท่านก็ได้สร้าง "ศรีสยาม" ขึ้นมาเป็นโรงคู่แฝด
กับโรงเฉลิมศรี อย่างที่เห็นนั่นเอง
ชีวิตการพากย์หนังโรงชั้นสองของผมไม่น้อยหน้าใครๆ
ผมมีโรงที่ต้องส่งเทปถึง 6 โรงด้วยกัน ซึ่งสมัยนั้น พอวันศุกร์
ก็จะมาซ้อมหนัง เสร็จประมาณตี 4 แล้วก็พากย์ใส่เทป เสร็จแล้วเด็กจะดร๊าฟเทปส่งไปตามโรงในเครือ ผมจึงทำงานจริงๆ
เพียงวันเสาร์ หรืออาจจะเพิ่มวันอาทิตย์อีก 1 วัน จากนั้น ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์กลางวัน จะว่างตลอด
ชีวิตที่สุขสบาย
รายได้งดงามกว่าใครๆ
และมีเวลาว่างมากเกินไปนี่กระมัง
ที่เป็นต้นเหตุแห่งความหายนะครั้งใหญ่ในชีวิตครอบครัวผม
เมียติดการพนัน!!!
ผมมารู้เอาเมื่อตอนผมป่วยเป็นโรคกระเพาะ ต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วไม่มีเงินค่ายาค่าหมอ ผมเค้นถาม เธอก็ตอบว่าเอาไปเล่นไพ่เสียหมด
เพราะเป็นคนรักเมีย จึงให้เมียเก็บเงิน แม้แต่ตอนซื้อบ้านก็ซื้อในชื่อของเมีย แล้วมาเป็นแบบนี้ ผมจะทำยังไง
แต่...ตอนที่จะออกจากโรงพยาบาล
เถ้าแก่ได้กรุณามาจัดการเรื่องค่ายาค่าหมดให้หมดทุกอย่าง
จากนั้นมา ผมก็เริ่มแบ่งค่าพากย์กับเมีย เงินส่วนผมต้องอยู่กับผม ส่วนของเขา จะเอาไปทำอะไรก็ตามใจ
แต่...เรื่องมันไม่จบแค่นั้น
เมื่อเธอเสียการพนันมากๆเข้า
ก็ถึงกับเอาบ้าน ซึ่งซื้อในนามของเธอไปจำนอง
เอาเงินมาเพื่อหวังแก้ตัวกับการพนันที่เสียไปก่อนหน้านั้น
หายนะยิ่งมากกว่าเก่า เมื่อเธอไม่สามารถเอาชนะพวกเซียนพนันเหล่านั้นได้
สามเดือนต่อมา บ้านก็ถูกยึด
ครอบครัวแตก ลูกสาวสามคนแรกที่เริ่มโตเป็นสาว
หนีตามแฟนเขาไป เหลืออยู่สองคนเล็กที่ยังเรียนไม่จบ
ส่วนตัวเธอ หายไปพร้อมกับข่าวอัปมงคลมาเข้าหูแทบทุกวัน
ผมต้องย้ายออกจากบ้าน พาลูกสาวสองคนไปเช่าบ้านเขาอยู่ที่พระประแดง
ช่วงนี้ผมเก็บตัวเงียบ ไม่ออกไปหลังเฉลิมกรุง
แต่เพื่อนรุ่นน้อง ไกวัล วัฒนไกร กับเพื่อนของเขาชื่อ จินต์
หมั่นมาเยี่ยมมาคุยด้วยบ่อยๆ พร้อมกับข่าวอัปมงคลที่มากยิ่งขึ้น...
พอดีน้องชายที่พากย์หนังอยู่จันทบุรี คือ พันกวี กำลังจะย้ายตัวเองมาพากย์ที่ สุริยา วงเวียนใหญ่ ขอให้ผมลงไปแทนตัวเขาที่จันทบุรี
ผมตกลงทันที
เพราะไม่อยากอยู่สู้หน้าใครๆในกรุงเทพฯ
ผมแอบเขียนจดหมายลาเถ้าแก่ แล้วก็จากไปอย่างเงียบๆ
ผมนั่งรถทัวร์มาตามถนนสายสุขุมวิท
คิดถึงตัวเองแล้วก็กลุ้มใจ คิดอะไรไม่ออก
จากนี้ ชีวิตจะเป็นอย่างไร จะไแเริ่มต้นใหม่ได้ไหม
จนค่ำ...
รถวิ่งมาถึงตลาดนายายอาม ก่อนจะถึงตัวจังหวัดจันทบุรี
รถจอดส่งผู้โดยสาร ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นนกกำลังบินอยู่กลางฟ้า คิดไปว่า นั่นคือนกขมิ้นกำลังหลงรัง
เปรียบไปมันก็เหมือนกับชีวิตของผมตอนนี้ ซึ่งกำลังร่อนเร่หารังเหมือนนกขมิ้น
แล้วกลอนบทแรกในชีวิตของผมก็เริ่มขึ้น ด้วยการเปรียบเทียบชีวิตตนเองเหมือนนกขมิ้นหลงรัง
ผมมเริ่มว่า...
.....นกเอ๋ย นกขมิ้น
เจ้าพลัดถิ่นบินจรจะนอนไหน
บินว้าเหว่อ้างว้างกลางชอนไพร
ขาดคู่ใจไออุ่นสกุณา
.....รัตติกาลม่านหมอกคลี่ออกแล้ว
เห็นเคียวแก้วริมแรมแซมเวหา
เรไรหริ่งกร่งกรีดหวีดหวิวมา
หนาวลมฟ้าพายัพเหลือหลับนอน
.....เฉกเช่นฉันวันนี้ไร้ที่พัก
คนเคยรักนักหนายังกล้าหลอน
ต้องโดดเดี่ยวเดียวดายสู่ชายดอน
พเนจรหมอนหมิ่นแทบสิ้นคน
.....อกก็เจ็บเล็บก็ฉีกปีกก็หัก
ถูกศรรักร่วงเร่จากเวหน
ไร้แรงบินสิ้นหมดความอดทน
ต้องซุกตนซ่อนน้ำตาไม่กล้าเปรย
.....จะโก่งคอขอข้าวก็ร้าวแผล
จะขอแค่น้ำกลืนเหลือฝืนเอ่ย
มิมีใครไหนมาเยียวยาเลย
ดั่งกรรมเกยเสวยเวรขื่นเข็ญใจ
.....นกเอ๋ย นกขมิ้น
เจ้าหลงถิ่นบินจรจะนอนไหน
ไม่มาหาข้าบ้างหรืออย่างไร
เพื่ออาสัยไพรเถื่อนเป็นเพื่อนกัน...
+++++++++++++++
ชีวิตผม...
มาถึงจุดพลิกผันอีกครั้งหนึ่งแล้ว
แล้วจะเป็นอย่างไร ขออนุญาตพรุ่งนี้มาเล่าต่อครับ
...............................................................................
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 ธันวาคม 2017, 19:07:42 โดย มนัส กิ่งจันทร์ »
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
วันนี้ นอกจากรูปผมแล้ว ก็มีรูปกลุ่มโรงหนังในจันทบุรี
ผมก็อปมาจากกูเกิ้ล แล้วก็ทุ่งนาเชย สัญลักษณ์เมืองจันท์
+++++++++++++++++++++++++++++

ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 19
.....................................

ในที่สุด...
ผมก็เดินทางมาถึงจันทบุรี
ในตอนค่ำของวันที่ 19 ธันวาคม 2519
ผมเข้าพักโรงแรม 1 คืน เพราะเห็นว่ามันมืดค่ำแล้ว
ตอนสายของวันรุ่งขึ้น ผมจึงไปพบกับ เจ๊สุมาลี เจ้าของ
โรงหนังเฉลิมจันท์ โรงหนังเก่าแก่อาคารไม้ของเมืองจันท์
เป็นโรงหนังเก่าที่ยังใช้พัดลม...

เจ๊สุมาลีดีใจมาก ที่ได้ผมมาพากย์แทน พันกวี น้องชายผม
ที่ขึ้นไปพากย์ประจำโรงหนัง สุริยา วงเวียนใหญ่ กรุงเทพฯ
เจ๊เชื่อใจและมั่นใจว่าจะไปได้สวย เพราะเคยเห็นฝีปากผมจากการที่เคยมาพากย์หนังดอกดินหลายต่อหลายเรื่อง...
นั่นเอง เจ๊จึงสั่งแผนกโฆษณาว่า ให้ขึ้นป้ายหน้าโรงว่า พากย์โดย อธิษฐาน ที่เคยมาพากย์หนังของดอกดินทุกเรื่อง ซึ่งก็มีแฟนหนังหลายคนยังพอจำได้...
และเจ๊ได้ไปตามนักพากย์หญิงจากชลบุรีให้มาพากย์คู่กับผม ชื่ออะไรผมลืมไปแล้ว เพราะผลัดเปลี่ยนกันมาหลายคนมาก
และผมก็ไม่อยากสนใจใครมากนัก ทำงานเสร็จก็เก็บตัวเงียบ
หมกมุ่นอยู่กับความหลัง ที่ยังคิดไม่ตกว่า อะไร เป็นสาเหตุให้ชีวิตครอบครัวผมต้องแตกแยกอย่างนี้

พากย์มาได้สัก 3 เดือน...
เจ๊ก็เปิดโรงใหม่ที่เพิ่งสร้างเสร็จ คือ ศรีบูรพา
ให้ผมวิ่งรอกพากย์ทั้งสองโรง ซึ่งก็ได้รับการต้อนรับจากคนดูไม่น้อยทีเดียว...
ยุคนั้น ที่จนทบุรีมีโรงหนัง 5 โรง คือนอกจากเฉลิมจันท์ ก็มา ศรีบูรพา แล้วก็ ไทยรักมิตร สยามราม่า จันทบุรีราม่า
มีนักพากย์ที่มีชื่อเสียงเป็นเจ้าถิ่นอยู่แล้วคือ
"ศรวารี - สายใจ"
"พรานน้อย - สุนทรี"
"ทิวาพร - ชลธิชา"
ส่วนโรงที่ผมพากย์นั้น เจ๊สั่งให้ประกาศแต่ชื่อ อธิษฐาน ของผมคนเดียว...

อยู่มาได้อีกสักไม่ถึงเดือน
ทางโรงหนัง สยามราม่า ก็ส่งคนมาเรียกตัวผมไปพบ ผมก็ไป
ท่านเจ้าของโรงเป็นอดีตนายทหารเรือ ยศจ่า ชื่อ
ประเวศ กอปร์ไพบูลย์
ท่านขอร้องให้ผมแบ่งคิวมาพากย์ให้ที่สยามราม่าอีกสักโรง
แล้วคืนนั้น ท่านก็เลี้ยงเบียร์ผมอย่างเต็มที่ (เป็นเหตุให้ตั้งแต่นั้น ผมก็เลยกลายเป็นนักดื่มเบียร์ไปเลย)
ผมได้กลับมาปรึกษากับเจ๊สุมาลี ซึ่งเจ๊ก็ไม่ว่าอะไร เพราะผมไม่ได้ทำงานแบบกินเงินเดือน แต่ทำเป็นรายวัน วันไหนพากย์ก็ได้ค่าตัว แม้จะใช้วิธีเปิดเทปก็ต้องจ่ายเต็มทุกวันที่เปิดเทป
นั่นเป็นเหตุให้ผมได้พากย์เพิ่มที่สยามราม่าขึ้นอีก 1 โรง...

อีกแล้ว...
มาพากย์ให้สยามได้แค่สักเดือนละมั้ง
ทางโรงหนัง ไทยรักมิตรเธียเตอร์ ก็ส่งคนมาขอให้ไปพบ
ผมก็ไปตามคำเชิญ...
เจ้าของไทยรักมิตรเธียเตอร์ ชื่อ คุณเรวัติ โกศลานันท์ หรือที่คนท้องที่ที่คุ้นเคยเรียก "เสี่ยเม้ง"
เสี่ยเม้งขอร้องให้ผมช่วยไปพากย์ให้กับไทยรักมิตรอีกโรงหนึ่ง เพราะตอนนี้ ยอดรายได้ตกลงมาก
ผมก็กลับมาขออนุญาตเจ๊สุมาลีอีกครั้ง
และ...เจ๊ก็อนุญาตอีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน โรงหนังเฉลิมจันท์ก็ปิดตัวลง เพราะหมดสัญญาเช่า และเจ้าของที่ดินต้องการรื้อโรงหนังทำเป็นตลาด
ตอนนี้ จึงเป็นอันว่า ผมมีโรงหนังที่ต้องพากย์ รวมเป็น 3 โรงเข้าไปแล้ว...

แล้วก็...อีกแล้ว
อยู่มาไม่นาน เสี่ยเม้งก็เรียกผมไปคุย ขอให้ผมช่วยมาพากย์ที่ จันทบุรีราม่า อีกโรงหนึ่ง โรงนี้เป็นของ เจ๊เง็ก ซึ่งเป็นน้องเมีย
ของเสี่ยเม้งนั่นเอง...
ผมจึงได้มาพากย์ จันทบุรีราม่าเพิ่มขึ้นอีกโรง รวมเป็น 4 โรงแล้ว...

พระพรหมช่วย...
มีโรงหนังเปิดใหม่ขึ้นอีก 1 โรง
"ออโรร่า"
เจ้าของคือ เจ๊กาหลง ธารไพศาลสมุทร
ได้ส่งคนมาเชิญให้ไปพบที่บ้านท่าน ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องก่อสร้างร้านใหญ่ที่สุดของเมืองจันท์
ท่านบอกว่า เปิดโรงมาสามสี่เดือน คนดูไม่ค่อยมีเลย ช่วยแบ่งเวลามาพากย์ให้หน่อยได้ไหม...
โอ้ พระพรหมนะ เวลาท่านจะช่วยผมนี่ มาเป็นขบวนเลย
เป็นอันว่า โรงหนังในเมืองจันท์ทั้ง 5 โรง ผมเหมาพากย์คนเดียว ทั้ง ศรีบูรพา, สยามราม่า, ไทยรักมิตรเธียเตอร์, จันทบุรีราม่า, และ ออโรร่า,
พากย์แล้วก็อัดเทป ทางโรงมี "เด็กเปิดเทป" ประจำทำงาน
ช่วงนี้...ผมได้ย้ายมาพักที่ห้องพักพิเศษของโรงหนังไทยรักมิตร ที่จัดให้ผมเป็นพิเศษ ผมจึงรับลูกสาวที่เหลืออีกสองคนมาอยู่ด้วย เจ้าคนโตซึ่งเป็นสาวแล้วมีแฟนไป ส่วนคนเล็ก ผมส่งให้เรียนต่อที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัด "ศรียานุสรณ์"

ช่วงนี้...
พี่เวศ แห่งสยามราม่าจึงสั่งแกมบังคับว่า ห้ามผมไปกินข้าวเย็นที่ไหน ทุกเย็น ต้องไปกินข้าวบ้านแก
ก็ดีน่ะซี ผมจะได้ประหยัด แต่ผมจะต้องร่วมดื่มเบียร์กับแกไปด้วย จนต่อมาก็เข้าฝัก ติดเบียร์...แถมติดบุหรี่ด้วย
ครบเครื่องไปเลย...
กินดื่มที่บ้านพี่เวศจนถึงห้าทุ่มผมก็กลับ
โดยไม่ลืมหิ้วเบียร์ติดมือมาด้วย เพราะบอกตรงๆว่า
หลายเดือนที่ผ่านมา แผลลึกในหัวใจผมยังไม่หาย ผมยัง
คงคิดมากจนนอนไม่ค่อยหลับ ตอนนั้นผมผอมมาก น้ำหนัก
ตัวเหลือแค่ 49 เท่านั้น...

ผมกลับมาถึงห้องพัก แล้วก็เลยขึ้นไปบนชั้นดาษฟ้า ซึ่ง
เป็นลานกว้าง มีศาลพระภูมิตั้งอยู่ มีไฟส่องสว่างอยู่ 1 ดวง
ผมนั่งดื่มไป เปิดวิทยุฟังไป จนเจอรายการหนึ่ง ของสถานีวิทยุ 07 จันทบุรี คนจัดรายการชื่อ "สุชาติ ขวัญใจ" ซึ่งต่อมา
ได้รู้จักสนิทสนมกันดีมาก เขาเรียกผมว่าพี่ เขาจัดรายการเพลงประกอบคำกลอน
นั่นเป็นเหตุให้ผมนึกถึงบทกลอนขึ้นมาได้อีก ผมจึงเขียนกลอนระบายชีวิตที่ชอกช้ำส่งไปให้สุชาติอ่านออกอากาศ
เออ...
ไอ้กลอนรัก-กลอนเศร้า-กลอนผิดหวังนี่ คนกลับชอบ
จนมาถึงกลอนสำนวนหนึ่ง ที่ผมเขียนกำกับให้สุชาติอ่านออกอากาศไปด้วยว่า เป็นเรื่องจริงของผม กลอนสำนวนนั้น
ผมให้ชื่อว่า

"ไม่มีใครล้มกูได้ นอกจากกูล้มของกูเอง"

.....ไม่มีใครไหนข่มกูล้มได้
กูคือชายเชื้อชาติองอาจเหลือ
เลือดกูเค็มเข้มข้นเหมือนปนเกลือ
ศึกใต้เหนือเสือสิงห์มิกริ่งเกรง
.....เพียงแค่หญิงคนหนึ่งอย่าพึงหมิ่น
ต่อให้สิ้นอินทร์ยมมาข่มเหง
ถึงซมซานคลานคลุกจะลุกเอง
ขอบรรเลงเพลงชีวิตพิชิตมาร
.....คนอย่างกูสู้สิ้นทั้งดินฟ้า
ไม่บากหน้าขอร้องใครให้สงสาร
กูมิเคยทำตัวชั่วสาธารณ์
ยมบาลกูยังกล้าร้องท้าทาย
.....ไม่มีใครไหนข่มกูล้มคว่ำ
หญิงใจดำอย่างมึงอย่าพึงหมาย
ผู้ที่ข่มล้มร่างก็วางวาย
คือสุดท้ายบัญชาพรหมกูล้มเอง...

ก็...
แจ๊กพอตอีกครั้ง
บนเส้นทางของนักกลอน
มีจดหมายมาถึงมากมายเหลือเชื่อ
แต่ที่เกิดความเหลือเชื่อจริงๆก็คือกลอนสำนวนต่อมา
ที่ผมถอดออกมาจากอารมณ์ความรักความคิดถึง
ผมให้ชื่อว่า

"สิ้นสายสวาท..."

.....สายสวาทขาดสะบั้นจากกันแล้ว
มิทิ้งแววอาลัยเหลือให้เห็น
เราก็คงคล้ายคล้ายตายทั้งเป็น
ที่แสนเหม็นเช่นเนื้อไร้เกลือเคล้า
.....ต่อแต่นี้ชีวิตจะบิดเบี่ยง
ให้เหลือเพียงภาพฝันกับวันเหงา
ม่านน้ำตาพร่าพร่างบางบางเบา
เห็นเป็นเงาเราสองเคยครองเคียง
.....แสนสงสัยใจจังนะครั้งนี้
ใจจะยับยู่ยี่แตกกี่เสี่ยง
อยู่ก็เลือนเหมือนไฟไส้ตะเกียง
น้ำมันเลี้ยงแห้งแล้วสิ้นแวววง
.....พลิ้วพลิ้วพรมลมพัดสะบัดโบก
กลิ่นดอกโศกโศกซ้ำดั่งกรรมส่ง
ผสมกลิ่นกรุ่นกรายจากชายดง
กลิ่นกาหลงหลงเพ้อชะเง้อมอง
.....แสงวสันต์สิ้นสายประกายแสด
วับวับแผดผ่านป่าเหมือนหน้าผ่อง
ชะแง้หมายปลายทางฝ่าฟางทอง
ภาพที่จ้องกลับหายวาบเป็นภาพลวง
.....เจ็บน่ะเจ็บเหน็บผนึกอยู่ลึกลึก
นึกน่ะนึกถึงทุกครั้งด้วยยังห่วง
แต่ก็เหลือที่จะตามไปถามทวง
เพราะว่าช่วงสายสวาทมันขาดแล้ว...

คราวนี้อาการหนัก
เมื่อกลอนสำนวนนี้ถูกอ่านออกอากาศไปแล้ว
ก็มีจดหมายมาถึงสุชาติ ขวัญใจ ผู้จัดรายการ บอกว่า
มีนักกลอนหญิงคนหนึ่ง เป็นชาวเมืองแกลง จังหวัดระยอง
รู้สึกสงสารผม อยากมาขอพบ เธอชื่อ
"สายชล ชลาลัย"

แล้วเราก็ได้พบกัน คุยกัน
สายชล ชลาลัย เป็นลูกทะเล หน้าตาธรรมดาๆ
เธอเป็นแม่หม้าย ลูกติด 1 คน ขอฝากตัวเป็นน้องสาวผม
แล้วก็ขอคัดลอกบทกลอนเก่าๆของผมไปหลายบท ผมก็
โอเค...

แล้วพระพรหมก็เล่นตลกกับผมอีก
หลังจากคุณสายชลมาพบผมสามสี่ครั้ง
ครั้งสุดท้ายเธอเขียนจดหมายมาสารภาพกับผมว่า
"หลงรักพี่ชายคนนี้เสียแล้ว"
หากได้อยู่ร่วมชีวิตกัน เธอคงจะมีความสุขมากๆ
ให้ผมตัดสินใจว่า หากรักและสงสารเธอก็ตอบจดหมายด้วย
แต่หากไม่ตอบ ก็หมายความว่า พี่คนนี้ปฏิเสธน้อง แล้วเธอจะไม่มาหาผมอีกเลย...

เอาอีกแล้วหรือ ไอ้ชาติเอ๊ย คนที่เรารัก กลับทำให้เราผิดหวัง
แต่กับคนที่เราเห็นเหมือนน้องสาว กลับมาหลงรักเรา แล้วผมจะทำยังไงดี...

ผมจะทำยังไง...
พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อครับ...

 โรงหนังศรีบูรพา โรงหนังสยามราม่า  ตั๋วโรงหนังจันทบุรีราม่า โรงหนังออโรร่า..
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 20 โดยพี่ชาติ อธิษฐาน

คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
วันนี้...มีรูปผมถ่ายในสวนที่เมืองจันท์
และรูป กมลชัย โชติบัญชา น้องที่แสนดีคนหนึ่ง
กับจอหนัง ที่เป็นตำนานอีกบทหนึ่งของชีวิตผมครับ
++++++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 20
.....................................
ยอมรับตรงๆว่า...
อ่านจดหมายของคุณสายชลแล้ว...มึน
จากที่เคยคุยกันก่อนหน้านั้นหลายครั้ง ชีวิตของเธอ
น่าสงสารมาก เป็นหม้าย ทำงานอาชีพรับจ้างที่ท่าเรือประมง
เพื่อหาเลี้ยงลูก มีเวลาว่างก็แต่งกลอนส่งมาออกอกาศตามสถานีวิทยุหลายแห่งในจันทบุรี ซึ่งก็มี วิทยุ 07 จันทบุรี, วิทยุ
ทหารเรือ, และวิทยุกรมประชาสัมพันธ์,
บอกตรงๆว่า
ตอนนั้น...ผมยังขยาดกับคำว่า "เมีย"
ด้วยข่าวที่มาเข้าหูบ่อยๆ มันอับอาย อดสู สิ้นศักดิ์ศรีของความเป็นนักพากย์รุ่นพี่ที่น้องๆพยายามเดินตามรอย จึง
อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ ทำงาน หาเงินส่งลูกสาวคนเล็ก
เรียนให้จบ
และที่สำคัญ...
ผมไม่มีความรู้สึกในทางชู้สาวกับเธอเลย
ผมมองเธอเหมือนกับ น้องก้อ ที่ตะพานหิน, เหมือน ชลอ
ที่อุทัยธานี, และเหมือนพัชรี ที่เวียงจันทน์,
แล้วตอนนี้...
แผลในหัวใจผมมันยังไม่หาย มันยังเจ็บลึกๆอยู่ตลอดเวลา
ผมจึงตัดสินใจทำตามที่เธอบอกมาในจดหมาย...นั่นก็คือ
ไม่ตอบ!!!
แล้วเธอก็เงียบหายไปเลย
ไม่มาหาอีก และไม่เขียนจดหมายมาอีก...
ช่วงนี้...
นอกจากงานพากย์ที่กำลังเป็นที่ชื่นชอบของคนดู
งานเขียนกลอนของผมก็เริ่มเป็นที่สนใจของนักฟังวิทยุ
จนกระทั่งวันหนึ่ง...
คุณ พนม เทพคเชนทร์ แห่งสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์
มาเชิญไปคุยออกอากาศถึง 1 ชั่วโมงเต็มๆ เล่าเรื่องราวความเป็นมาของตัวเอง และเรื่องราวการพากย์หนังของผม
ก็...
เป็นที่ฮือฮากันพอสมควร
แล้วก็มาถึงวันสำคัญแห่งตำนานชีวิต
วันหนึ่ง ที่โรงหนังไทยรักมิตรเธียเตอร์ วันนั้นเป็นวันสตาร์ทหนัง เรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว จำได้แต่ว่า
หลังจากหนังเลิกรอบบ่าย คนดูออกจากโรงหมดแล้ว ผมก็เดินลงมาหวังจะไปหาอะไรกิน
พลันก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามายกมือไหว้ แล้วว่า
"พี่เป็นนักพากย์หนังใช่ไหมครับ?"
ผมงงๆ แต่ก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะเคยมีแฟนหนังมาทักทายแบบนี้หลายครั้งหลายหน จึงตอบไปว่า
"ใช่ มีอะไรหรือ?"
"เปล่าครับ ผมมาดูหนังเรื่องนี้ ชอบการพากย์ของพี่มาก และอยากรู้จักพี่..."
แล้วเขาก็แนะนำตัวเองว่า
ชื่อ กมลชัย โชติบัญชา ชื่อเล่นว่า "ล้าน"
เมื่อก่อนเคยเป็นเด็กโรงหนังที่ สยามราม่า แล้วต่อมาก็มาเป็นเด็กขี่รถจักรยานส่งยาให้กับร้านยา "บ้วนแซตึ๊ง" ซึ่งเป็นเอเยนต์ใหญ่ ส่งยาให้ตามร้านเล็กๆทั่วไป
สุดท้าย...ตอนนี้
เป็นเจ้าหน้าที่ห้องยาที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี กับมีหน้าที่คอยดูแลสนามแบดมินตันของสมาคมแบดฯแห่งเมืองจันท์....
นายล้าน...ซึ่งต่อมาผมเรียกเขาว่า "สิบแสน" มีเพื่อนที่เป็นลูกคนจีนด้วยกันหลายคน เขาชวนผมไปที่สนามแบดฯ แนะนำให้รู้จักกับเพื่อนๆของเขา
พอสนิทสนมกันมากเข้า ก็นัดไปกินเหล้ากินเบียร์เฮฮาสนุกสนานกันไป...
พวกเราทั้งหมดมี 7 คน ต่อมาพี่ลัดดา นามพากย์ชลธิชา นักพากย์ที่พากย์คู่กับผม และคุณ อนงค์นาฏ หวังในธรรม นักจัดรายการวิทยุทหารอากาศ 07 จันทบุรี เพื่อนสนิทของพี่ดา ก็มาร่วมวงด้วย รวมเป็น 9 คน...
จากนั้น พวกเราก็ตั้งกันขึ้นเป็นชมรม เรียกว่า
"ชมรม 99 ตังค์"
ทุกครั้งที่ไปกินเฮฮากัน เราจะแชร์เงินกันออกเท่าๆกัน ถ้ามีเหลือ ก็จะเอาไปเข้าบัญชีในชื่อชมรม 99 ตังค์ พอเงินเหลือมากๆ ก็จะพากันเอาไปถวายวัดแถวๆนอกเมืองออกไป
แล้วพวกเราก็เริ่มงานการกุศล
ด้วยการให้คุณ อนงนาฏ ประกาศทางวิทยุ รับบริจาคหนังสือเก่า เสื้อผ้าเก่าๆที่ไม่ใช่แล้ว ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ แล้วเอาไปบริจาคตามโรงเรียนในถิ่นยากจน
บางครั้งเราก็เอาเงินส่วนที่เก็บไว้ ออกมาหาชื้อของกินดีๆ
แล้วยกโขยงไปแถวชายแดน ซึ่งตอนนั้น เขมรแดงกับเขมรขาวกำลังไล่ยิงกันอยู่ตามชายแดน มีทหารไทยไปคอยยันไม่ให้ล่วงล้ำเข้ามาในเขตไทย
เราเอาของกินไปแจก แล้วก็นั่งคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ ให้กำลังใจทหาร สนุกสนานกันไป โดยทุกครั้ง ท่านผ.บ.ค่ายทหารเรือ "ค่ายตากสิน" จะกรุณาเอารถทหารไปส่งพวกเรา
นี่เอง...
ทำให้ผมเริ่มมีความสุข
ลืมเรื่องเฮงซวยเก่าๆไปได้อย่างสิ้นเชิง
แล้วก็มาถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
นายล้าน หรือนานสิบแสน อยากพัฒนาตัวเอง
แต่เขาเรียนหนังสือมาน้อย พวกเราจึงช่วยกันออกเงินส่งให้นายล้านเรียนโรงเรียน ก.ศ.น.ของผู้ใหญ่จนจบ
แล้วก็ส่งนายล้านมาเรียน "ผู้ช่วยเภสัชกร" ต่อที่กรุงเทพฯ ใช้
เวลาสองสามปีหรือไงก็จำไม่ได้ ที่ตอนนั้นพวกเราอีกแปดคนต้องช่วยเงินและดูแลลูกกับเมียนายล้าน ไม่ให้เดือดร้อนอดอยาก ซึ่งตอนนั้น พวกเราไม่ได้คิดว่าเป็นภาระ
ยิ่งกับผมแล้ว หาเงินได้คล่อง ก็เลยเห็นเป็นเรื่องสนุกไป
จนนายล้านจบกลับมา
ได้บรรจุเป็นผู้ช่วยหัวหน้าห้องยาประจำโรงพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี พวกเราเลี้ยงฉลองความสำเร็จของเพื่อนกันอย่างสนุกสนานมากๆ...
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง
ที่ผมต้องเล่าไว้ตรงนี้ด้วยความภูมิใจลึกๆ
วันหนึ่ง มีคนมาตามผม ให้ไปพบนายทุนคนหนึ่ง
ผมก็ไป...
นายทุนคนนั้นบอกว่า
ตอนนี้หนังวีดีโอเริ่มเข้ามาเมืองไทย
และกำลังเป็นที่นิยมของนักดูหนังมากมายทีเดียว
แต่...
หนังพวกนั้นเป็นเสียงในฟิล์ม
และเขากับนายช่างได้คิดหาวิธีจะพากย์ไทยใส่ลงไป
โดยจะมอบหน้าที่การพากย์ให้ผมเป็นคนจัดการทุกอย่าง
ตอนนั้น
วีดีโอเริ่มระบาดในกรุงเทพฯแล้ว
แต่ยังไม่มีใครคิดที่จะพากย์เสียงไทยลงไป
ผมเห็นว่า นี่เป็นโอกาสดีอีกอย่างหนึ่ง จึงโทร.ขึ้นมาหา
ไกวัล วัฒนไกร ซึ่งตอนนั้นกำลังบูมอยู่ที่ช่อง 9 กับน้าต๋อยเซ็มเบ้ ให้ไกวัลลงไปจันทบุรี เพื่อร่วมกันพากย์หนังวีดีโอ
ก็...แจ๊กพอตอีกแหละ
หนังเรื่องแรก เป็นหนังฝรั่ง จำชื่อไม่ได้แล้ว
นำแสดงโดย เคิร์ก ดักลาส กับ แอนโทนี ควินน์
ตอนท้ายของเรื่องมีฉากดวลปืนกันที่หน้าสถานีรถไฟ
พอหนังเรื่องนี้เสร็จ ส่งเข้ามาขายในกรุงเทพฯ ก็เกิดตลาดแตกขึ้นทันที หนังถูกก็อปปี้ถล่มทลาย
แล้วต่อมาก็เกิดมีการจัดพากย์ขึ้นในกรุงเทพฯตามมา...
ผมก็นึกภูมิใจลึกๆว่า
ผมกับไกวัลนี่นะ ที่เป็นคนพากย์ลงวีดีโอเป็นเจ้าแรกของเมืองไทย
อยู่มาวันหนึ่ง
นายล้านก็มาบอกว่า
พี่เขยของเขา ชื่อ ณรง สายทอง บ้านอยู่คมบาง
ได้รับจำนำเครื่องฉายไว้ 1 เครื่อง เจ้าของไม่มาถ่าย จึงคิด
ตั้งจอหนัง รับฉายงานกลางแปลง ขอร้องให้ผมไปพากย์เปิดจอให้หน่อย ผมก็โอเค แล้วก็โทร.เรียกไกวัลไปช่วยพากย์ คือ
พากย์ชายสองหญิงหนึ่ง กะเอาให้จอนายล้านดังไปเลย
แต่...
ผิดคาด
ไอ้เครื่องฉายที่รับจำนำไว้นั่นมันชำรุด
ฉายไปดับไป คนดูก็โห่ไป ผมเลยให้ไกวัลพากย์ต่อ
ส่วนผมหนีมานั่งกินเบียร์ในตลาดโต้รุ่ง จนนายล้านตามมาเจอ ผมก็บอกว่า
"อย่าไปทำมันเลย ไอ้จอกลางแปลงน่ะ ฉันเหนื่อยกะมันมามากพอแล้ว"
จากวันนั้นมา
ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่แล้วอะไรก็เกิดขึ้นกับผมจนได้
เมื่อวันหนึ่ง ผมนั่งกินเบียร์กับนายล้านในตลาดโต้รุ่ง
นายล้านก็เล่าให้ผมฟังว่า โดนเจ้าของจอหนังแห่งหนึ่ง
พูดจาดูถูกว่า
"คนอย่างไอ้ล้าน มันตั้งจอหนังไม่ได้หหรอก"
ผมกำลังมึนๆก็โพล่งออกไปทันทีว่า
"ไอ้ล้านมันเพื่อนกู กูอยู่ทั้งคน ตั้งไม่ได้ให้แม่งรู้ไปสิวะ..."
คืนนั้นผ่านไป
ผมเต็มที่กับเบียร์แล้วก็กลับไปนอน
หลับสบายฝันหวานตลอดทั้งคืนไม่ได้คิดอะไร
จนกระทั่ง...
ตอนสายวันรุ่งขึ้น
มีเสียงเคาะประตูห้อง
ผมก็งัวเงียลุกมาเปิดประตู
อยากรู้ว่าใครวะมารบกวนการนอน
พอเปิดผลัวะ!!!
ผมตกใจ เมื่อมองออกไป เห็นนายล้าน กับผู้หญิงผู้ชายสองคน คนแก่ผู้หญิงกับผู้ชายอีกสองคน และเด็กเล็กๆอีกคนหนึ่ง ยืนยกมือไหว้ผม
นายณรงค์ สายทอง กับ ม่วย พี่สายพี่เขยนายล้าน และพ่อกับแม่ของนายณรงค์ กับเด็กชายตัวน้อย ชื่อน้องตั้ง
ผมงงๆ...
นายล้านก็บอกว่า ขอเข้าไปคุยกับพี่หน่อย
ผมก็เชิญเข้าห้อง ลงนั่งคุยกัน นายล้านบอกว่า
เมื่อคืนคุยกับพี่ชาติแล้ว กลับไปก็รีบไปคมบางทันที บอกกับพี่เขยพี่สาวว่า พี่ชาติพูดว่า ไอ้ล้านเป็นเพื่อนกู ตั้งจอไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป พี่เขยกับพี่สาวจึงตัดสินใจ จะตั้งจอขึ้นมา โดยให้พี่ชาติช่วยเหลือ ตามที่พี่พูดไว้...
เอาแล้วซี...
ปากหาเรื่องแล้วไหมล่ะ
แล้วไอ้ที่พูดไปเมื่อคืนน่ะ สิงห์มันพูดนะ
แต่... เมื่อพูดไปแล้ว ผมจะเสียคำพูดมันก็คงไม่ได้
จึงถามไปว่า
"แล้วจะเอายังไง"
"ผมกับพี่ณรงค์ กับไอ้ม่วย จะเข้ากรุงเทพฯ เอาเครื่องไปซ่อม
แล้วตั้งจอ สายทอง คมบาง ขึ้นมา โดยให้พี่ชาติช่วยจัดการ
ทุกอย่าง เพราะพวกเราไม่เคยทำงานเรื่องนี้มาก่อน พี่ชาติบอกว่า ไอ้ล้านเป็นเพื่อนกู กูอยู่ทั้งคน ตั้งจอไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป"
แล้วลงท้ายว่า...
"เราพร้อมที่จะเดินทางเข้ากรุงเทพฯแล้ว พี่ชาติต้องช่วยผมนะ"
แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันยกมือไหว้ผม
โอย...
อีกแล้วหนอเรา...
ปากพาหาเรื่องเข้าตัวอีกแล้ว
จะปฏิเสธก็สายเกินแก้ไปเสียแล้ว
ผมจะทำยังไง ไว้พรุ่งนี้มาเล่าต่อนะครับ
(วันนี้ช้ากว่าทุกวัน ผมนั่งพิมพ์มาได้ครึ่งเรื่อง เครื่องมันแฮ้ง
ต้องปิดเครื่อง แล้วมาเริ่มใหม่ ทำให้ช้าไปมาก ขอโทษทุกคนด้วย เครื่องมันเก่ามากๆ ยังไม่รู้ว่าจะพังวันไหนเลย...)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 ธันวาคม 2017, 19:04:14 โดย มนัส กิ่งจันทร์ »
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 21 โดยพี่ชาติ อธิษฐาน
9 ธ.ค. 60
คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
วันนี้ลงรูปตอนไปเล่นลิเกฉลององค์กฐิน
และรูปของหลานชายคนหนึ่ง ที่เขาชื่นชมเรามากๆ
++++++++++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 21
.....................................
ทำไงได้ล่ะ...
เมื่อพลั้งปากไปแล้ว
ก็ต้องทำเพื่อไม่ให้เสียคำพูด
โดยเฉพาะ...พวกเขายกโขยงกันมาด้วยความตั้งใจ
นั่นเอง ขบวนการตั้งจอกลางแปลง สายทอง คมบาง ก็เริ่มขึ้น
วันต่อมา...
ณรงค์ สายทอง พร้อมกับ ม่วย เมียเขา และนายล้าน
พวกเรานั่งรถเข้ากรุงเทพฯ พร้อมด้วยเครื่องฉายเจ้าปัญหา
จุดแรกที่มา...
หลังศาลาเฉลิมกรุง...
เดินตามหาร้านที่บริการเกี่ยวกับเครื่องฉายอาร์ค 35 ม.ม. จน
มาพบ ดูเหมือนจะมีชื่อว่า "วรรัตน์...." อะไรก็จำไม่ได้แล้ว ทางร้านเห็นเครื่องฉายก็พามาที่ร้านซ่อม ซึ่งอยู่ที่ศูนย์การค้าวรรัตน์ เอาเครื่องให้เขาดู เขาก็ร้องโอ้โฮ เครื่องมันแทบจะหมดสภาพแล้ว ซ่อมไปก็ไม่คุ้ม แล้วเขาก็แนะนำว่า ให้ขายเครื่องนี้ให้เขา เขาจะไปถอดเอาอาหลั่ยไปซ่อมเครื่องอื่น แล้วให้เราซื้อเครื่องใหม่ไปเลย เป็นเครื่องมือสอง ไม่แพง ขอรับรองว่าใช้เป็นปีไม่มีปัญหาแน่นอน เมื่อถามราคาแล้ว
ณรงค์ก็หันมาถามเรา เราก็บอกแล้วแต่ใจ เพราะเราเอง แม้
จะเคยหัดฉายหนังมาก่อน แต่ก็ไม่เคยซ่อมเครื่อง และนี่ก็เป็นเครื่อง 35 ม.ม. ไม่เหมือนเครื่อง 16 ม.ม. ที่เราเคยฉายมา
ที่สุด ณรงค์ก็พูดออกมาชัดถ้อยชัดคำว่า
"ผมมีเงินไม่พอ"
อ้าว!!!
เอาละซี...
จะกลับไปหาเงิน แล้ววันหลังมาซื้อ ก็ดูท่าจะไม่ดีนัก คงต้องเสียเวลาและเดินทางไปมายุ่งยาก ปรึกษากันไปมา ผมก็ตัดสินใจ...
"เอาทองพี่ชาติไปขาย..."
จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางขึ้นล่อง
ตอนนั้น ผมมีสร้อยคออยู่เส้นหนึ่ง หนักสองบาท
เป็นของขวัญที่เจ๊สุมาลีมอบให้ตอนนที่เดินทางมาอยู่เฉลิมจันทร์... ช่วงนั้น ทองคำบาทละ 800 บาทเท่านั้นแหละ
เอาวะ...หาได้แล้วซื้อเอาใหม่ก็ได้วะ
แล้วปัญหาก็ลุล่วงไปได้ด้วยดี
เราทั้งหมดเดินทางกลับจันทบุรีในบ่ายวันนั้น
เมื่อมาถึง ณรงค์ สายทอง พี่เขยนายล้าน ก็จัดการทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย นายล้านว่างจากงานจัดยาที่โรงพยาบาลก็ขี่รถออกตระเวนไปตามบ้านกำนัน-ผู้ใหญ่บ้านแถวนอกเมือง บอกให้รู้ว่า มีจอหนังกลางแปลงของคนเมืองจันท์ตั้งขึ้นใหม่ ใครจะมีงานบวช งานทำบุญบ้าน หรืองานศพ ของให้เรียกใช้ได้ในราคาถูก ไปติดต่อได้ที่ห้องยา โรงพยาบาลพระปกเกล้า...
ส่วนผม...ก็แอบพูดโฆษณาตอนก่อนหนังฉายทุกรอบที่พากย์
เป็นการช่วยโฆษณาอีกทางหนึ่ง
นั่นเอง จอสายทอง คมบางที่เพิ่งเปิดใหม่ กลับมีงานออกไปฉายแทบทุกวัน
และ...คงไม่ต้องบอกหรอกนะ ว่า ผม เป็นนักพากย์ประจำจอ
โธ่...ช่วยกันมาถึงขนาดนี้แล้ว
และ...การทีนายล้านไปโฆษณาไว้ว่า จอสายทอง นักพากย์ประจำคือ อธิษฐาน แห่งโรงหนังไทยรักมิตร ก็ยิ่งเพิ่มเครดิตส์
ให้มากยิ่งขึ้น...
ส่วนงานพากย์หนังโรงของผมก็ยังมีเป็นประจำ พากย์อัดเทปแล้วก็ว่าง นั่นเอง งานการกุศลครั้งใหญ่สุดในชีวิตของผมก็เริ่มขึ้น
เป็นประธานทอดกฐิน...
แม่จ้าวโวย อะไรจะยิ่งใหญ่ขนาดน้าน...
ก็นายล้านนั่นแหละ ที่ร่วมกับพวกเพื่อนๆ ปรึกษากันว่า ตอนนี้
เงินกองกลางที่เหลือจากงานกินเลี้ยงในหมู่คณะมันมากขึ้น จึงคิดจะทำงานกุศลยิ่งใหญ่ในนามของพี่ชาติ เพื่อตอบแทนบุญคุณของพี่ชาติ จึงร่วมกันจัดตั้งองค์กฐินสามัคคีกันขึ้น ให้คุณอนงค์นาฏ หวังในธรรม นักจัดรายการของสถานีวิทยุ 07
ช่วยประกาศ รวมทั้งรายการของ "รุ่งเพชร ขวัญใจ" รายการของ "สุชาติ ขวัญใจ" รายการของ "ไก่ย่าง" ซึ่งคนเหล่านี้ก็เป็นเพื่อนร่วมแก๊งกันทั้งนั้น จึงเข้ามาร่วมงานและช่วยโฆษณาให้ฟรี
งานกฐิินของผมฮือฮาไม่น้อยทีเดียว ได้เงินบริจาคไม่น้อยเลย...
แล้วก็มาถึงวันทอดกฐิน
เราไปจองไว้ที่วัดแห่งหนึ่ง อยู่นอกเมืองออกไปไม่ไกลนัก
งานนี้มีผู้หลักผู้ใหญ่นักการเมืองท้องถิ่น และนายทหารเรือจากค่ายตากสินอีกหลายนาย ช่วยเหลืออย่างเต็มที่
วันทอดกฐิน เรายกขบวนไปกันเต็มที่ พร้อมกับมีลิเก และที่ขาดไม่ได้อย่างยิ่งคือ หนังกลางแปลงของจอสายทองคมบาง...
มีผู้ชายคนหนึ่ง คือ นักจัดรายการวิทยุรุ่นน้อง ชื่อ "ไก่ย่าง" รูปร่างเขาผอมเหมือนไก่ย่าง เตี๊ยมกับผมและพี่ดาว่า เราจะเล่นลิเกฉากเล็กๆฉลองกับเขาด้วย โดยเล่นกันก่อนลิเกจริงจะแสดง เรื่อง จันทโครพ ให้นายไก่เป็นตัวโจร...
แต่พอถึงเวลา นายไก่ไม่มาซะนี่ ผมเลยต้องลงมือเอง ทั้งๆที่ในชีวิตไม่เคยเล่นลิเก
แต่...เพราะผมเริ่มครึ้มๆเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์มาแต่หัวค่ำแล้ว ก็เลยเข้าไปให้เขาแต่งหน้าแต่งตัว แล้วก็เตี๊ยมบทบาทกัน
ผม...แสดงเป็นโจรป่า
น้องคนหนึ่งเป็นจันทโครพ
แล้วให้พี่ดา (อ้วน) เป็นนางโมรา
ตามบทว่า...
ผมออกมา (ร้องลิเกไม่ออก เลยพูดอย่างเดียว) ว่า
วันนี้ อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เขาลงข่าวว่า พระจันทโครพเรียนวิชาจบ ได้ผอบมาจากฤๅษี กำลังเดินทางกลับเมือง ผ่านมาทางนี้ เรารู้ว่าผอบทองนั้นใส่นางโมราไว้ เราจะไปดักปล้น...
ฉากต่อมา...
ผม..ในบทจอมโจรมาเจอพระจันทโครพ จึงดักหน้า บอกว่าเรารู้ว่าเจ้าได้ผอบทองมา จงมอบให้เราเสียดีๆ จันทโครพไม่ยอม จึงเกิดต่อสู้กัน แล้วผอบก็ตกลงมา
ทันใดนั้น...
นางโมราก็ปรากฏตัวขึ้น
ในฉาก คนที่เป็นโมราคือ พีลัดดา คู่พากย์ของผม
พอเห็นนางโมราเท่านั้นแหละ ทั้งโจรทั้งจันทโครพต่างก็ไม่เอา เพราะโมราคนนี้ น้ำหนักมากกว่า 80 ก.ก.
เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมาก็เกิดรบกัน แล้วพากันวิ่งหายเข้าหลังโรงไป ลิเกของแถมก็จบลงแค่นี้...
งานทอดกฐินผ่านไปด้วยดี
จอสายทอง คมบาง ของณรงค์ พี่เขยนายล้านก็เจริญรุ่งเรืองมาอย่างสวยงาม
ทุกอย่าง...ดูท่าจะไปได้สวย ราบรื่น ทุกคนมีความสุข
แต่...ถ้ามันเป็นอย่างนั้น โลกใบนี้ก็คงจะเซ็งจนไม่มีใครอยากอยู่ เพราะว่า ในขณะงานการกำลังไปได้สวย...
ณรงค์ป่วย...
เป็นมะเร็งลำไส้...
มารู้ตัวเอาเมื่อถึงระยะสุดท้ายแล้ว
นายล้านมาส่งข่าว แต่ผมก็ไม่ได้ไปเยี่ยม
เพราะช่วงนั้นงานกำลังล้นมือ นอกจากพากย์หนัง ผมยังต้องทำโฆษณา ด้วยการอัดเทปประกาศโปรแกรมหนัง โดยพูดลงเทปเครื่องใหญ่ แล้วอัดเอาเสียงจากหนังตัวอย่าง เช่นของ ชอว์บราเดอร์ มาผสมเสียงให้ดูน่าฟังยิ่งขึ้น เสร็จแล้วถ่ายเทปลงในคาสเส็ท เอาไปเปิดกับรถแห่ป้ายโฆษณาวิ่งรอบเมือง ซึ่งผมต้องทำให้เขาถึงสองโรง แล้วก็ยังมี สปอตโฆษณาสินค้า ที่บรรดาร้านค้าในตลาดจันทบุรี ที่มาจ้างทำสปอต ไปเปิดทางสถานีวิทยุต่างๆอีก...
จนสุดท้าย...
นายณรงค์เสียชีวิต
ทั้งม่วยและนายล้านมาเล่าให้ฟังว่า
ก่อนสิ้นใจ นายณรงค์เพ้อถึงพี่ชาติ ร้องว่า
"พี่ชาติ พี่ชาติช่วยผมมาแล้วอย่าทิ้งผมนะ ถ้าผมไม่อยู่ ฝากพี่ชาติช่วยดูแลจอผมด้วย ดูแลม่วยเมียผม กับเจ้าตั้งลูกผมด้วย
พี่ชาติ พี่ชาติอย่าทิ้งผมนะ...."
แล้วณรงค์ก็สิ้นใจไปตรงนั้น
นายล้านบอกว่า พรุ่งนี้ 4 โมงเย็นจะเผาแล้ว พี่ชาติอย่าลืมไปให้ได้นะ...
ผมก็รับปาก...
แต่...
วันรุ่งขึ้น
วันเผาศพณรงค์
เป็นวันเสาร์ ไทยรักมิตรเปิดโปรแกรมใหม่พอดี
และวันนั้นก็เหมือนจะเป็นวันแห่งอุปสรรคของผม
หนังเดินทางมาถึงบ่ายโมงกว่า จึงได้เริ่มฉายรอบเที่ยง
หนังสองเรื่องควบ กว่าจะจบก็เลยสี่โมงเย็นไปเกือบๆครึ่งชั่วโมง พอพากย์จบ ผมก็รีบลงมาข้างล่าง สั่งเด็กเอารถแห่ป้ายออกไปส่งผมที่คมบาง
ผมอยู่ที่ไทยรักมิตร เสี่ยเม้งใจดี อนุญาตว่า ถ้ามีธุระจะไปไหน
ให้เอารถแห่ป้ายพร้อมคนขับไปใช้งานได้เลย ผมก็เลยให้เด็กรีบบึ่งไปส่งทันที
ตรงนี้...
มีเรื่องมหัศจรรย์เกิดขึ้น
ผมมารู้ตอนเผาศพเสร็จแล้ว ม่วยเล่าให้ฟังว่า
พอถึงเวลาเผา 4 โมงเย็น รอพี่ชาติเห็นว่าคงติดธุระไม่มาแน่
จึงตัดสินใจยกศพขึ้นเมรุ
แต่...ยกยังไงก็ไม่ขึ้น พอดันแรงๆ โลงศพกลับเลื่อนพรวดลงมาอยู่ที่พื้นข้างล่าง ทุกคนตกใจ แต่ก็พยายามช่วยกันยกโลงขึ้นเมรุ แต่ยกยังไงก็ยกไม่ขึ้น
จนกระทั่ง...
รถแห่ป้ายของไทยรักมิตรที่ผมนั่งมาถึง
พอรถจอดพรวด ผมรีบก้าวลงจากรถ เสียงพวกที่ยกโลงศพก็เฮขึ้นทันที เมื่อพวกเขายกโลงศพของณรงค์ขึ้นเมรุได้สำเร็จ
เมื่อเผาศพแล้ว ม่วยเมียณรงค์และนายล้านได้เล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง แล้วบอกว่า
"ณรงค์เขารักพี่ชาติมาก เขาคงรอพี่ชาติ...ไม่ยอมให้เผา จนพี่ชาติมา เราถึงยกศพเขาขึ้นเมรุได้"
ผมฟังแล้วก็ขนลุก นึกในใจว่า เรื่องของจิตและวิญญาณ เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ...
แล้วก็มาถึงอีกหนึ่งเรื่องสำคัญที่ต้องเล่าไว้ด้วย
คุณอนงค์นาฏ โฆษกนักจัดรายการของวิทยุ 07 จันทบุรี
ร่วมมือกับแฟน จัดตั้งจอกลางแปลงขึ้นมาอีกหนึ่งจอ ใช้ชื่อ
"อนงค์นาฏภาพยนตร์"
แน่นอน...ในฐานะเพื่อนกัน ผมก็ต้องเป็นนักพากย์ประจำจอให้เขา ปฏิเสธไม่ได้ ซึ่งก็มีปัญหาอย่างหนึ่งคือ
งานจะมาตรงวันเดียวกันกับสายทอง
ผมก็ตัดสินง่ายๆ ทั้งสองจอนี้ ใครจะฉายหนังพากย์ ซึ่งส่วนมากเป็นหนังจีน-หนังฝรั่ง ฉายควบหนังไทยที่เป็นหนังเสียงในฟิล์ม ก่อนหลัง ให้ตกลงกันเสียก่อน แล้วผมก็จะวิ่งรอก พากย์จอแรกหัวค่ำ จอที่สองตอนดึก...
เมื่อตั้งจอแล้ว อนงค์นาฏก็มักเรียกผมให้มากินข้าวด้วยกันที่บ้านของเธอบ่อยๆ ผมก็เลยมีที่กินเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแห่ง
และ...
ที่บ้านคุณอนงค์นาฏนี่เอง
ตำนานบทใหม่ของนักพากย์คนหนึ่งก็เกิดขึ้น
ทุกครั้งที่ผมมากินข้าวกินเบียร์ที่บ้านคุณอนงค์นาฏ
มักจะมีเจ้าเด็กน้อยคนหนึ่ง มายืนเมียงๆมองๆอยู่ข้างหลังผม
เขาเป็นหลานป้าของคุณอนงค์นาฏ
เจ้าหนูคนนั้น...ซึ่งต่อมาคือนักพากย์ที่โด่งดังไม่แพ้ใคร คือ...
หลังจากเขามาพากย์ประจำให้ช่อง 9 แล้ว ไกวัลได้นำเขามาพบผม เขาก็ถามผมว่า
"ลุงชาติจำผมได้ไหม?"
ผมก็บอกว่าจำไม่ได้จริงๆ
เขาก็ว่า ผมคือไอ้เด็กที่ไปยืนมองลุงชาติ ตอนที่ลุงชาติไปกินเบียร์บ้านป้านงค์ไง ผมเคยไปดูหนังที่ลุงชาติพากย์ที่ไทยรักมิตร ผมชอบมาก ผมไปดูบ่อยๆ และจดจำได้ทุกอย่าง จนผมได้มาเป็นนักพากย์ ก็พยายามเลียนแบบการพากย์ของลุงชาติ
"ลุงชาติเป็นไอดอลของผม..."
ครับ...เหลือเชื่อจริงๆ เจ้าเด็กคนนั้นก็คือ
"จูน"
นักพากย์หนึ่งในทีมของช่อง 9 และที่กำลังโด่งดังในวงการนักพากย์ลงเสียงอยู่เวลานี้
คนในรูปที่ถ่ายคู่กับผู้หญิงนั่นแหละ
เชื่อว่าหลายคนคงจะจำได้และรู้จักแน่นอน...
ผมยังใช้ชีวิตสุขสบายอยู่จันทบุรีต่อมา
จนกระทั่ง ช่วงค่ำวันหนึ่ง ก่อนหนังฉาย เด็กขึ้นมาตามว่า
ให้ลงไปรับโทรศัพท์ทางไกลจากกรุงเทพฯ
ใครโทร.มาหว่า...
ผมนึกในใจ แล้วก็ลงมาที่ห้องตั๋ว ยกหูขึ้นก็กรอกเสียงลงไป
"ฮัลโหล ผมชาติพูดครับ..."
แล้วผมก็แทบช็อก เมื่อเสียงในสายนั้นพูดมาว่า
"สวัสดีครับ พี่ชาติ...ผมฮุยนะครับ"
คุณฮุย หรือ สุชาติ พิศิษบ์วุฒินันท์ เจ้าของค่ายมวยนครหลวงโปรโมชั่นคนปัจจุบันนั่นเอง ตอนนั้น คุณฮุยควบคุมดูแลโรงหนังนครนนท์ นนทบุรี เพราะเถ้าแก่ดุสิตท่านอายุมากแล้ว จึงพักผ่อน ให้ลูกๆทำงานแทน
ผมกรอกเสียงไปตามสายว่า
"คุณฮุยรู้ได้ไง ว่าผมอยู่ที่นี่?"
"พี่ชาติจะหนีผมไปไหนพ้น ผมรู้ทั้งนั้นแหละว่าพี่ชาติอยู่ที่ไหน เป็นยังไง...
แต่ว่า...
ตอนนี้พี่ชาติสบายใจขึ้นหรือยัง และพร้อมจะกลับมาร่วมงานกับผมอีกหรือยัง..."
"ยังมีอะไรให้ผมทำอีกหรือครับ?"
"มี และสำคัญมาก พี่แกละป่วย เป็นมะเร็งลำไส้ เข้าโรงพยาบาล โปรแกรมหน้ายังไม่มีคนพากย์ พี่ชาติกลับขึ้นมาช่วยผมนะ"
เอาละซี...
เจ้านายเก่าเรียกตัวกลับ
นั่นยังไม่ร้ายเท่าที่ว่า เจ้าแกละ หรือพันกวี น้องชายผมที่พากย์แทนผมอยู่กับนครหลวงป่วย เป็นมะเร็งลำไส้!!!
โอยยย...
ผมจะทำยังไง???
ครับ ผมจะทำยังไง
ไว้วันพรุ่งนี้ผมจะมาเล่าต่อให้ฟังครับ...
++++++++++++++++++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 ธันวาคม 2017, 18:51:39 โดย มนัส กิ่งจันทร์ »
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 22 โดยพี่ชาติ อธิษฐาน

คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
รูปที่ลงประกอบวันนี้ เป็นรูปผมกับน้องชาย นามพากย์พันกวี
อีกรูปหนึ่งถ่ายคู่กับ เบญจพล วัฒนไกร น้องชายของ ไกวัล วัฒนไกร แห่งช่อง 9 คนสุดท้ายคือ ตุ๊ก สมรัก เฟื่องฟุ้ง...
++++++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 22
.....................................
เช้าวันต่อมา...
ผมรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯทันที
เจ้านายเก่ากรุณาเรียกใช้ ถือว่าเรายังมีความดีอยู่
พอถึงกรุงเทพฯ คุณศิวลี คู่พากย์ของน้องชาย พันกวี
พาผมไปเยี่ยมน้องที่โรงพยาบาลวิภาวดี
ดูเขาโทรมไปมาก อาจจะเนื่องจากตอนนี้ เขากำลังดังในกรุงเทพฯ มีงานพากย์หลายแห่งด้วยกัน
พันกวี หรือ ศมา ชื่นขำ เป็นน้องชายคนรอง ต่อจากน้องผู้หญิงอีกคนหนึ่ง ตอนเขาเกิดใหม่ๆ พ่อไปรับงานก่อสร้างต่างอำเภอ งานยุ่งมาก ไม่มีเวลากลับมาบ้าน ส่วนแม่ก็เป็นโรคอยู่ไฟไม่ได้ เดินเหินไม่สะดวก เหมือนคนเป็นง่อย ผมต้องคอยดูแลอาบน้ำป้อนข้าวให้เขา เลี้ยงมาจนโต จึงมีความผูกพันกันมาก...
ช่วงที่เขาโตเป็นหนุ่ม ผมย้ายครอบครัวของพ่อแม่มาอยูที่ลพบุรี เป็บบ้านเช่าไม่มีเลขที่ ส่งธนาณัติไปไม่ได้ จึงให้เจ้าแกละลงมากรุงเทพฯ รับเงินค่าใช้จ่ายไปให้พ่อกับแม่
ตอนนั้น เขาอยากเป็นนักพากย์มาก
ตอนที่เขามารับเงินเดือนจากผม แล้วเขาก็หนีไปหัดพากย์หนังอยู่ที่ศรีโพธิ์ภาพยนตร์ บางแสน ผมเรียกเขามาด่า ว่าอยากพากย์หนังกูสอนให้มึงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เอาเงินไปใช้
แล้วพ่อกับแม่จะเอาอะไรกิน
เขาโกรธที่โดนด่า จึงหนีหน้าไป ไม่มาพบผมอีกเลย ใครถามว่าเป็นน้องชายผมเขาก็จะโกรธ...
แต่ตอนหลังรู้สึกตัวได้เขาก็มาขอโทษ ผมก็ไม่ว่าอะไร
จนมาตอนนี้
เขาป่วย นอนติดเตียงอยู่
บอกว่า หมอยังไม่ตอบว่าเป็นโรคอะไร แต่สงสัยจะเป็นนิ่วในกระเพาะอาหาร...
ผมกับคุณศิวลี นักพากย์หญิงที่พากย์คู่กับพันกวี กลับมาแล้ว
(ศิวลี เป็นลูกสาวอดีตดาราบทผู้ร้ายดังมากสมัยนั้น คือ ประกอบ โพธิโสภณ)
คุณศิวลีเล่าให้ฟังว่า หมอเรียกไปพบเป็นส่วนตัว แจ้งว่า น้องชายผมเป็นมะเร็งที่กระเพาะอาหาร อาการอยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว หมอให้เวลาอีกสามเดือนเท่านั้น
ผมใจหาย...
น้องชายที่เราเคยอุ้มมาจนเอวเป็นหนามเมื่อตอนเด็ก ทั้งป้อนข้าวป้อนน้ำ จึงรักและผูกพันอย่างมาก จะต้องมาจากไปตั้งแต่อายุยังน้อยเชียวหรือ...
สาเหตุของโรคร้าย เชื่อว่ามาจากการกินเหล้ากินเบียร์อย่างมากมายของเขานั่นเอง
หลายคนที่เคยเป็นเพื่อนกับพันกวี จะรู้ดีว่าเขามีเพื่อนมาก หลังจากพากย์หนังอัดเทปแล้วก็มีเวลาว่าง จึงใช้เวลาส่วนมากมานั่งที่ห้องอาหารเซนทรัล วังบูรพา กับเพื่อนๆ บางทีก็มีเป็นสิบคน กินจนสนิทกับผู้จัดการห้องอาหาร ถึงขนาดบางวันติดลม ผู้จัดการเลยล็อคกุญแจให้นั่งกินกันจนสว่าง รุ่งขึ้นจึงมาเปิดประตู...
จนเป็นเรื่องร่ำลือกันในหมู่นักพากย์กรุงเทพฯ...
หลังจากเข้าไปคุยกับคุณสุชาติ เจ้านายเก่าแล้ว เสี่ยฮุยบอกว่า ไม่แน่ใจว่าพี่แกละจะฟื้นหรือไม่ จึงสั่งให้ผมอัดเทปโปรแกรมหน้าไว้ก่อน...
หนังโปรแกรมหน้าถูกสั่งมาด่วน คืนนั้นหลังจากหนังเลิก โรงว่าง ก็ซ้อมหนังกันเลย ช่วงเช้ามืดก็อัดเทป เสร็จแล้วผมต้องรีบกลับจันทบุรี เพราะมีงานรออยู่
และช่วงนี้เอง...
มีน้องนักพากย์สองคนจากกรุงเทพฯมาหา
เขาคือ เกรียงศักดิ์ กับ ตุ๊ก หรือสมรัก เฟื่องฟุ้ง
บอกว่า เห็นพี่ชาติมีงานล้นมือ คิดว่าคงมีงานเหลือแบ่งให้น้องทำมั่ง...
ผมก็สงสารเขาสองคน เพราะสนิทกับผมและพันกวีมาก จึง
ไปหาเสี่ยเจ้าของโรง บอกว่า ตอนนี้งานผมล้นมือ มีน้องนักพากย์คู่หนึ่ง ฝีปากดี อยากฝากให้ทำงานแทนผม
แต่...
คำตอบของเจ้าของโรงทุกคนที่ผมไปหา ตอบเหมือนๆกันว่า
ผมต้องการอธิษฐานมาพากย์ให้เท่านั้น เอาคนอื่นมา เกิดรายได้ตก เจ๊งไป พี่ชาติจะทำไง...
ถ้าผมอยากได้นักพากย์อื่น ผมหาเองดีกว่า ไม่ต้องให้พี่ชาติหาให้หรอก...
ผมเองก็จนใจ และกลุ้มใจ ที่ช่วยน้องเขาไม่ได้ ได้แต่พาไปเลี้ยงข้าว แล้ววันรุ่งขึ้นก็ส่งค่ารถให้เขาสองคนกลับกรุงเทพฯ
ช่วงที่วิ่งขึ้นๆล่องๆจันทบุรี-กรุงเทพฯ
บางทีงานพากย์ก็มีขลุกขลัก จนทางเจ๊สุมาลีส่งคนมาบอกว่า
โปรแกรมหน้าไม่ไต้องไปพากย์ที่ศรีบูรพาแล้ว
แล้วเขาก็ไปตาม ศักชาติ สรัณญา มาพากย์แทนผม ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร ถือว่าเป็นความผิดของตัวเองก็แล้วกันที่ไม่มีเวลาให้เขา...
ผมวิ่งขึ้นวิ่งล่อง จันทบุรี-กรุงเทพฯ
ด้วยวิธีการพากย์นอกรอบ แล้วอัดเทป ให้ทางพนักงานเปิดเทปของเสี่ยฮุยจัด
การดร๊าฟเทปตามโรงในเครืออีก 5 โรง
โดยผมรับค่าพากย์เพียงที่นครนนท์โรงเดียวเท่านั้น วันละ 400 บาทสมัยนั้น ส่วนอีก 5 โรง ให้หลานมาเบิกค่าพากย์ไปช่วยค่าใช้จ่ายของน้องที่ยังต้องนอนซมอยู่กับเตียง
ระยะนี้เอง...
เบญจพล วัฒนไกร นักพากย์น้องชายของ ไกวัล วัฒนไกร แห่งช่อง 9 ก็มาหาผม ขอร้องให้ผมปลีกเวลาไปช่วยพากย์หนังซีรีย์จักรๆวงศ์ๆของช่อง 3 เออ...ดี มีรายได้เพิ่มอีก เผื่อจะได้ไปช่วยค่าหมอค่ายาให้น้องชาย ซึ่งตอนหลัง น้องสะใภ้
ได้เหมารถพาตัวไปที่อ่างทอง ตามที่มีคนบอกเล่าว่า ที่นั่น มีหมอยารักษาโรคมะเร็งทุกชนิดได้ รับรองว่าหายแน่
แต่...
พอไปเข้าจริงๆ
กลับอาการหนักกว่าเก่า
เห็นท่าไม่ดีก็เลยพากันกลับกรุงเทพฯ
แล้วอาศัยที่บอดี้การ์ดของเสี่ยฮุยเป็นอดีตสารวัตรทหารเรือ
จึงอาศัยเส้นส่งตัวพันกวีเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทหารเรือ ฝั่งธนบุรีนั่นเอง...
ช่วงนี้...
คิดว่าน่าจะอยู่ประมาณ พ.ศ. 2530
เป็นช่วงที่หนังต่างประเทศเริ่มพากย์ไทยบันทึกเสียง
มีทีมพากย์ใหญ่แห่งหนึ่ง รับงานพากย์มากมายไม่หวัดไม่ไหว
แต่เสี่ยฮุยกลับบอกว่า
"พี่ชาติพากย์ทับเสียงในฟิล์มไปเลย คนดูชอบพี่ชาติอยู่แล้ว
เสียงไทยในฟิล์มมันแห้งๆ ไม่มีลูกเล่น..."
นั่นเป็นต้นเหตุให้เกิดกรณีกันขึ้น
นักพากย์ร่างใหญ่เจ้าของทีมชื่อดัง พูดฝากมาว่า
"พากย์ไทยทับเสียงของเขา เสียมารยาท"
เดือดร้อนถึงนายจินต์ ผู้กำกับหนังคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนกับไกวัล
ซึ่งรู้จักกับนักพากย์ท่านนั้น พูดว่า
"ก็พวกคุณพากย์หนังไม่มีลูกเล่น คนดูเขาไม่ชอบ ไม่เชื่อไปดูที่โรงหนังสุริยาซี คนฮาโรงแทบแตกทุกรอบเลย...."
นั่นเอง เจ้าหมอนั่นจึงพาลุกทีมไปดูการพากย์ของผมที่สุริยา
แล้วต่อมา ทีมนั้นก็พัฒนาการพากย์ด้วยการพยายามใส่ลูกเล่นบ้างเหมือนกัน...
แล้วก็มาถึงวันสำคัญ
เจ้าแกละ พันกวี หรือ ศมา ชื่นขำ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง
ผมเสร็จจากพากย์หนังอัดเทป ลงมาแล้วก็พบเด็กที่มาส่งข่าว
ใจหาย...
น้องชายร่วมสายเลือดต้องมาจากไป...
ผมสะเทือนใจอย่างมาก ทำอะไรไม่ถูก มันตื้อไปหมด
วันที่รดน้ำศพน้องชาย
ผมไม่กล้าเข้าไป ไม่กล้ามองร่างของเขา ไม่กล้ามองหน้าของเขา
ต้องเดินหนีออกมาแอบนั่งร้องไห้อยู่คนเดียว
วันเผาศพ...
มีเพื่อนของพันกวีที่เป็นเจ้าของจอหนัง
เอาจอมาตั้งฉายหนังมากถึง 5 จอด้วยกัน
โดยเหลืออีก 2 จอไม่มีที่ฉาย บริเวณวัดนางนองมีที่ไม่พอ
ถึงเวลาเผาศพ
ผมก็ไม่กล้าขึ้นไปเผา
แอบไปนั่งร้องไห้อยู่ที่โรงครัว
รักน้อง สงสารน้องที่ต้องจากไปทั้งที่อายุยังน้อย
ไม่รู้จะทำอย่างไรได้ โชคชะตาของเขามันเป็นอย่างนี้
นึกถึงวันเก่าๆที่เราเลี้ยงเขามา ก็ได้แต่เขียนกลอนไว้อาลัยให้เขา ตั้งชื่อว่า
"กล่อมน้อง....."
....."จันทร์เอ๋ย จันทร์จ้าว ขอข้าวขอแกง
ขอแหวนทองแดง ผูกมือน้องข้า"
เคบกล่อมน้องร้องบรรเลงเพลงนี้มา
รักดวงตาและเจ้าเทียมเท่ากัน
.....ครั้งพ่อจากไกลบ้านเพราะงานใหญ่
แม่ป่วยไข้จนยากพี่บากบั่น
ทั้งป้อนข้าวอาบน้ำทำทุกวัน
ร้องเพลงจันทร์เจ้าขาเวลานอน
.....จนดังรุ่งพุ่งลิบขึ้นหยิบหาว
พอถึงดาวเจ้าก็ดับร่วงลับก่อน
จึงเพลงจันทร์เจ้าขาหวนมาย้อน
ท่ามไฟร้อนเพราะโรคและโชคร้าย
.....โอ้เห่เอยเคยอ้อนเมื่อตอนเล็ก
เดี๋ยวเดียวเด็กดื้อกลับเสียงลับหาย
พี่เคยอุ้มเหมือนเพิ่งวางน้องห่างกาย
ดูคล้ายคล้ายไออุ่นยังกรุ่นเอว
.....นอนเถิดน้องนอนเสียเจ้าเพลียมาก
พร้อมปิดฉากชีวิตเหมือนปิดเหว
ลืมความหลังทั้งที่ดีและเลว
หลับเมื่อเปลวไฟดับนะ...หลับตา
....."จันทร์เอ๋ยจันทรจ้าวขอข้าวขอแกง
ขอแหวนทองแดงผูกมือน้องข้า"
ขอรถทองอ่องเอี่ยมเทียมช้างม้า
รับน้องพาขึ้นสวรรค์สู่ชั้นพรหม...
................................
เรื่องของน้อง
แม้วันนี้ วันที่เขียนบันทึกนี้
ผมก็ยังคิดถึงเขา ด้วยหัวใจของพี่ที่รักน้อง
จิตใจมันห่อเหี่ยวพิกล จึงขอหยุดไว้เพียงเท่านี้
พรุ่งนี้มาเล่าต่อนะครับ...
+++++++++++++++++++
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 23 โดยพี่ชาติ อธิษฐาน

คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
รูปที่เพิ่มมาวันนี้คือ ห้องพากย์โรงหนังนครนนท์
และรูปถ่ายคู่กับ อารีรัตน์ หรือ อ้อย ผู้หญิงในตำนาน
+++++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 23
.....................................
จากภาพแรก
ห้องพากย์นครนนท์
ห้องรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ไม่กว้างนัก
ห้องที่สร้างชื่อเสียงและเงินตราให้แก่เราอย่างมากมาย
ห้องที่เราต้องมาพากย์แทนน้องชาย ที่เพิ่งจากไปเพราะมะเร็ง
ในช่วงนั้น...
หนังจีน หนังฝรั่ง หนังอินเดีย หรือหนังต่างประเทศทุกชนิดต่างพากย์เสียงไทยลงฟิล์มกันหมด
นักพากย์ประจำโรงทุกคนต่างตกงานกันเป็นแถว
แต่ทางโรงก็รายได้ตกต่ำลงอย่างมาก เพราะการพากย์เสียงไทยลงฟิล์ม จะต้องให้ตรงปาก จะสอดใส่มุขฮาเหมือนนักพากย์ประจำโรงไม่ได้ คนดูก็เลยเซ็ง
แต่กับนครนนท์ราม่า
เสี่ยฮุยสั่งบริษัทหนังว่า
หนังทุกเรื่องที่จะฉายเครือนครทท์ราม่า
จะต้องเอาฟิล์มก็อปปี้เสียงต่างประเทศ เพื่อมาพากย์สด
เพราะคนดูในเครือของที่นี่ติดนักพากย์
ตัวอย่างเช่น...
หนังจีนโปรแกรมหนึ่ง ที่สุริยาเธียเตอร์ วงเวียนใหญ่ เด็กเปิดเทปมาเล่าให้ฟัง เด็กดร๊าฟเทปส่งให้ไม่ทัน ทางโรงจึงประกาศฉายหนังเสียง ปรากฏว่ารอบนั้น คนดูเดินออกจากโรงแทบหมด พวกเขาบอกว่าไว้รอดูตอนเทปมาแล้วก็ได้ ผมฟังเด็กเล่าแล้วก็ขำๆ พูดว่า
"ถึงขนาดนี้เชียวหรือ..."
ตอนนั้น มีหนังจีนหนังฝรั่งเยี่ยมๆของสหมงคลฟิล์มเข้ามาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นหนังของเฉินหลง หรือ "ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ" ทำชื่อเสียงให้อย่างมาก แล้วนครหลวงโปรโมชั่นก็มีโรงอยู่ในเครือมากมายถึง 80 โรง แต่โรงที่ผมต้องส่งเทปพากย์นั้นมีไม่มากนัก เช่น
จาก...นครนนท์ราม่า
สุริยาเธียร์เตอร์ วงเวียนใหญ่
งามวงศ์วานราม่า แยกงามวงศ์วาน
ผึ้งหลวง อยู่เลยดาวคะนองลงไปนิดหน่อย
เฉลิมศรี พระประแดง
ศรีสยาม พระประแดง
สะพานใหม่ราม่า
โคลัมเบีย
ปารีส ซึ่งปรับมาเป็นโรงชั้นสอง ฉายหนังในเครือนครหลวง
แล้วก็ สเตท สำโรง
ที่โรงสเตท สำโรง มีปัญหานิดหน่อย
เดิมเจ้าของฉายเสียงในฟิล์ม รายได้ตกต่ำจนไปไม่ไหว
ก็โอนมาให้นครหลวงเช่าต่อ นอกจากรับเซ้งโรงหนัง เสี่ยฮุยยังรับเซ้งพนักงานทุกคน ใครทำอะไรก็ให้ทำต่อไปตามเดิม โดยกินเงินเดือนเท่าเดิม มีเพิ่มเพียง ทางเสี่ยฮุยส่งพนักงานเปิดเทปกับเครื่องเทปไปประจำ
ประเดิมโปรแกรมแรกก็มี
ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ หรือเรื่องอะไรจำไม่ได้
คนดูส่งเสียงฮาสนั่นหวั่นไหว
พนักงานหญิงหัวหน้าห้องตั๋วสงสัย ก็เดินเข้าไปดูในโรง รู้ว่ามีการเปิดเทปพากย์ทับเสียงไทย
เธอเดินขึ้นไปโวยวายกับเด็กเปิดเทปว่า ทำไมต้องเปิดเทป เพราะหนังนี้เสียงไทย เด็กก็บอกว่าเป็นคำสั่งเสี่ยฮุย พนักงานหญิงคนนั้นก็โวยวายใหญ่ สั่งให้เลิกเปิดเทป เด็กจึงโทรมาหาคุณฮุย
คุณฮุยก็รีบด่วนไปทันที
เมื่อไปถึงก็บอกพนักงานหญิงคนนั้นว่า เพราะฉายเสียงในฟิล์ม โรงหนังถึงเจ๊ง ต้องมาเซ้งให้ผม เมื่อเป็นของผม ผมจะทำอะไรก็ตามใจผม คุณทนดูไม่ได้ก็ออกจากงานนี้ไป
เรื่องนี้ เด็กเปิดเทปชื่อไอ้แห้ง เป็นเด็กชาวอีสาน ตอนมารับเทปเรื่องใหม่เป็นผู้เล่าให้ผมฟัง...
ตอนนี้...
ผมต้องเคลียบุ๊กตัวเองตลอดเวลา
พอว่างจากกรุงเทพฯก็ต้องรีบด่วนลงไปจันทบุรี ขอร้องให้ทางโรงสั่งหนังมาล่วงหน้าเพื่ออัดเทป ซึ่งก็มีบางโรงฉายหนังเสียงไทยในฟิล์ม โดยผมไม่ต้องไปพากย์ ซึ่งก็มีเรื่องอยากโม้ให้ฟังเรื่องหนึ่ง...
โปรแกรมหนังเรื่อง ซูเปอร์แมน ภาคแรก
หนังเรื่องนี้อัดเสียงไทยโดยทีมที่ดีที่สุดของเวลานั้น
เข้าฉายที่เมืองจันท์สองโรงพร้อมกัน คือ
ไทยรักมิตรเธียเตอร์ และ
จันทบุรีราม่า
ที่ไทยรักมิตร เสี่ยเม้งสั่งให้ผมพากย์เสียงไทยทับ
ส่วนที่จันทบุรีราม่า เปิดเสียงไทยในฟิล์ม
ปรากฏว่า ที่จันทบุรีราม่าฉายได้สี่หรือห้าวันก็ถอดหนังออกจากโปรแกรม เพราะไม่มีคนดู
แต่ที่ไทยรักมิตร จำได้ว่าฉายอยู่ 20 กว่าวัน เด็กที่โรงหนังบอกว่าคนแน่นแทบทุกรอบ...
ผมใช้เวลาส่วนมากอยู่ที่กรุงเทพฯ
เพราะที่กรุงเทพฯ ว่างจากหนังโรง เบญจพล วัฒนไกร จะมาชวนผมไปพากย์ลงเสียงให้หนังช่อง 3 อย่างที่เล่าไปแล้ว และ
ไกวัล วัฒนไกร เจ้าน้องที่คอยติดสอยห้อยตามกันไม่เคยทิ้ง จะมารับไปพากย์ลงวีดีโอ ที่แลปแถวๆสะพานควาย ซึ่งตอนนั้น วีดีโอพากย์ไทยเพิ่งเริ่มไม่นาน งานจึงมีมากกว่าคน ผมก็ตระเวนพากย์อยู่ประมานสามสี่แลป
และ...ไกวัลนี่แหละ
ริเริ่มสร้างหนังกะเขาเหมือนกัน
หนังที่สร้าง จำได้ว่าชื่อ "คนแดดเดียว"
นำแสดงโดย ปรีชา เกตุคำ กับนางเอกชื่อไรจำไม่ได้แล้ว
และ แนะนำตลกคนใหม่สู่วงการแสดง เจ้าตลกเด็กหนุ่มคนนี้
เป็นเด็กสร้างของ อ๋อง หรือนักพากย์ที่ชื่อ "มหาอำนาจ" ซึ่งหันไปเอาดีทางเล่นตลก เอาเด็กหนุ่มจากยโสธรมาหัดเล่นตลก แล้วก็เอามาฝากให้ไกวัลยัดเยียดบทตลกให้แสดง คือ
"หม่ำ จ๊กม๊ก" ที่โด่งดังทุกวันนี้เอง
หนังสร้างเสร็จ ไกวัลก็มาขอให้ผมไปช่วยพากย์
คนที่มาร่วมพากย์ก็มีทั้งตัว ปรีชา เกตุคำ หม่ำ จ๊กม๊ก และ "มด" เมียของหม่ำ ซึ่งพวกนี้ยังไม่เคยพากย์หนังมาก่อน
เดือดร้อนที่ผมต้องคอยแนะนำไป พากย์ไป กว่าจะเสร็จ
แต่ละฉาก ทุลักทุเลน่าดู
เสร็จงาน...
ก็กลับมานอนที่ห้องพัก อยู่ข้างโรงหนังนครนนท์นั่นแหละ
และ...
ที่นี่เอง...
ตำนานรักบทใหม่ของผมก็เริ่มขึ้น...
ชั้นล่างของโรงหนังนครนนท์ราม่า เป็นห้างสรรพสินค้า ชื่อ
"อิมพีเรียล เวิร์ลด์"
วันหนึ่ง ผมลงไปเดินดูสินค้า
แล้วก็...
แปล๊บ...เข้าไปในหัวใจ
เมื่อสายตาเหลือบไปสบตากับผู้หญิงคนหนึ่ง
เป็นพนักงานขายเครื่องสำอางยี่ห้อดังในยุคนั้น
พอผมหันไปสบตา เธอก็ยิ้มให้ผม ผมยิ้มตอบด้วยใจระทึก
ผู้หญิงคนนี้จัดว่าสวย ผมยาวประบ่า อยู่ในชุดสีชมพูซึ่งเป็นเครื่องแบบพนักงานของบริษัท
เธอร้องทักมาว่า
"ซื้อเครื่องสำอางไปฝากแฟนไหมคะ?"
ความสนใจ ทำให้ผมเดินเข้าไปหาเธอ แล้วตอบว่า
"ไว้หาแฟนได้แล้วจะมาซื้อครับ..."
"อะไร หน้าตาไม่ใช่คนขี้เหร่ ยังหาแฟนไม่ได้อีกเรอะ?"
ผมสนทนากับเธออีกเล็กน้อยก็เดินจากมา...
ผมมารู้ทีหลังว่า เธอชื่อ อารีรัตน์ ชื่อเล่นว่า อ้อย
หลังจากนั้น
ผมก็จะต้องมีเรื่องเดินเข้าไปคุยกับเธอเสมอ
จนสนิทสนมกัน ถึงขนาดชวนเธอออกไปกินข้าวด้วยกัน
บางวัน เลิกจากงานแล้ว เธอก็จะมานั่งดูหนังกับผม ความ
สัมพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนผมแน่ใจว่า คนนี้แหละ ใช่เลย
แม้ว่าตอนนั้น ผมอายุขึ้นเลขห้าแล้ว ส่วนเธอ อายุเพิ่ง 24 เท่านั้นเอง แต่เธอก็มีใจกับผมอย่างเห็นได้ชัด จนวันหนึ่ง เธอพาผมนั่งรถเข้าไปที่บ้านเธอ ซึ่งอยู่ในสวนที่เมืองนนท์นั่นแหละ ที่บ้านเธอ มีเพียงคุณแม่ของเธอคนเดียว คุณพ่อเธอเสียไปหลายปีแล้ว
ผมนั่งสนทนากับคุณแม่เธออยู่พักใหญ่ก็ขอตัวกลับ เพราะคะเนอายุคุณแม่เธอแล้ว ก็คงพอๆกับผมน่ะแหละ
ท่ามกลางความรักที่หวานชื่น
ซึ่งผมยังตัดสินใจไม่ถูกว่า จะลงเอยแบบไหน
แบบวิวาห์เหาะ, แบบไปหาผู้ใหญ่แล้วผูกข้อมือ, หรือว่า
ลงทุนจัดแต่งงาน...
ปรึกษาเธอ เธอก็บอกว่า
"แล้วแต่พี่ พี่มีกำลังเท่าไหร่อ้อยก็เท่านั้น ขอเพียงพี่จริงจังเท่านั้น..."
แต่...
ในขณะที่ผมกำลังจะก้าวขึ้นสู่สวรรค์
พลันก็หกคะเมนตีลังกาหล่นลงมาอย่างไม่เป็นท่า
เมื่อวันหนึ่ง
"เล็ก" เมียหัวหน้าห้องฉายเข้ามาพูดกับผมสองต่อสองว่า
"พี่รักผู้หญิงคนนี้จริงๆเหรอ?"
"ไม่มีปัญหา และกำลังหาวิธีลงเอยว่าจะแต่งหรือจะรวบรัด"
"พี่กำลังจะปีนต้นงิ้ว และกำลังจะหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว"
"หา???"
คำว่า "ปีนต้นงิ้ว" ทำให้ผมสะดุ้ง
แล้วเล็กก็เล่าให้ผมฟังว่า อ้อยเป็นเด็กเสี่ยเลี้ยงคนหนึ่ง ที่มาเช่าบ้านให้เธออยู่ข้างๆโรงหนังนครนนท์ เขาจะมาเฉพาะวันเสาร์กับอาทิตย์เท่านั้น
ให้ตายเถอะ ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
และเมื่อผมไปถามเธอตรงๆ เธอก็รับสารภาพกับผมตรงๆ
"อ้อยกำลังจะหาทางเลิกกับเขา อ้อยไม่อยากกินน้ำใต้ศอกใคร พี่อย่าทิ้งอ้อยนะ อ้อยรักพี่ รักมากด้วย สงสารอ้อยนะ..."
ไม่เอาดีกว่า...
ถอยดีกว่า...
ผมตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับเธอ
ผมก็เป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ผมไม่อยากแย่งเมียใคร
แล้วผมจะทำยังไงต่อไปกับชีวิตที่แก่แล้วยังเสือกอกหัก
พรุ่งนี้มาเล่าต่อครับ...
++++++++++++++++++++++
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 24 โดยพี่ชาติ อธิษฐาน

คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
รูปที่ลงวันนี้ คือ ผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตผม
แล้วก็ลูกสาวคนเล็ก...
++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 24
.....................................
นี่เป็นอีกครั้ง
ที่ผมต้องผิดหวัง
หลังจากที่กับพบอ้อย
และบอกเลิกบอกลากับเธอ
เธอร้องไห้ สารภาพว่ารักผมด้วยใจจริง
และอยากมีชีวิตคู่ที่มีความสุขอย่างราบรื่นเหมือนคนอื่น
ผมพยายามตัดใจ เพราะไม่อยากเสียศักดิ์ศรีและเป็นคนบาป
กลับมาเคลียร์บุ๊กกับผู้จัดการจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบกลับจันทบุรีทันที ไม่อยากอยู่มันแล้วกรุงเทพฯ แล้วก็ไม่อยากพบหน้าใครๆทั้งนั้น
ผมกลับมาจันทบุรีอย่างเหงาๆ
และพยายามอยู่อย่างเงียบๆ ไม่จำเป็นก็ไม่ไปพบหน้าใครๆ อดทน และคิดแต่เพียงว่า
พระพรหมขีดเส้นชีวิตผมมาอย่างนี้ มันก็ต้องเป็นไปแบบนี้ แม้
ในส่วนลึกของหัวใจจะหวัง จะฝันอะไรไว้มากมาย ก็ต้องปล่อยให้มันทลายไป...
แต่แล้ว...
พระพรหมท่านก้เมตตาผม
เมื่อผมได้พบกับอดีตนักร้องจากวงดนตรี สมานมิตร เกิดกำแพง นามว่า "แพรวพรรณ อรัญญา" หรือ
เง้กเน้ย แซ่คู ชื่อไทยว่า นริสา...
เราตกลงร่วมชีวิตกันโดยไม่มีพิธีรีตองอะไร
ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่จันทบุรี จนมีลูกสาวด้วยกัน 1 คน
สำหรับคู่ชีวิตคนนี้ ผมไม่มีอะไรจะเล่ามากนัก เพราะเธอคือคู่ชีวิตที่แท้จริง และอยู่ด้วยกันมาจนทุกวันนี้...
ต่อมาไม่นาน
ทางโรงหนังบางโรงเริ่มฉายหนังเสียงในฟิล์ม
เขาบอกว่า ทดลองดู ว่าคนจะชอบอย่างไหนมากกว่ากัน ระหว่างเสียงไทยในฟิล์มกับพากย์สด
แต่ผมรู้ วิสัยของพ่อค้า ก็พยายามจ่ายให้น้อย รับให้มาก เพื่อผลกำไรของเขา ผมคิดได้อย่างนั้นก็ตัดสินใจทันที ว่าผมควรกลับขึ้นมาปักหลักอยู่กรุงเทพฯดีกว่า แน่นอนกว่า เพราะเสี่ยฮุยพูดแล้วว่า พากย์ไทยคนดูชอบมากกว่า
ผมไปบอกลากับพี่ประเวศ ที่โรงหนังสยามราม่า ว่าผมจะขอลาออก ผมจะกลับกรุงเทพฯแล้ว เพราะงานที่โน่นมากกว่า พี่เวศไม่ว่าอะไร...
นั่นเอง
ผมจึงอพยพครอบครัว เมีย 1 คน กับลูกอีก 1 คน มาอยู่ที่ห้องพักของนครนนท์ราม่า...
ผมเคยถาม เล็ก เมียหัวหน้าห้องฉายเหมือนกันว่า ได้ข่าวอ้อยบ้างไหม เล็กบอกว่า เธอย้ายออกไปจากบ้านเช่าข้างโรงหนังแล้ว และก็ลาออกจากการเป็นพนักงานขายเครื่องสำอางแล้ว ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหน หายเงียบไปเลย
ผมก็เลยสบายใจ ไม่พบไม่เห็นกันอีกน่ะดีแล้ว ไม่มีปัญหา...
มุ่งหน้าทำงาน
ว่างก็พาเมียพาลูกไปเที่ยวที่เซนทรัล วังบูรพา
พบหน้าเพื่อนๆนักพากย์ ดื่มกันบ้างเพื่อความสนุกสนานเฮฮา
บางครั้งเบญจพล วัฒนไกร หรือ ไกวัล วัฒนไกร มารับไปพากย์หนังวีดีโอ หารายได้พิเศษ
ชีวิตจึงอยู่สุขสบาย
มีเรื่องเล่าที่อยากแถมให้หลายๆคนได้รับรู้เรื่องหนึ่ง
เกี่ยวกับลูกสาวคนเล็กคนนี้ ที่ผมรักและดูแลมากเป็นพิเศษ
บางวันที่ว่างๆ ผมจะนั่งเขียนหนังสืออยู่กับโต๊ะญี่ปุ่น คือโต๊ะ
ที่สูงประมาณ 1 ศอก วางกับพื้น แล้วเราก็นั่งกับพื้น เขียนหนังสือ โดยหัดแต่งนิทานบ้าง นิยายบ้าง เรื่องสั้นบ้าง หรือบางทีก็เป็นบทกลอน
นั่งเขียนไปก็สูบบุหรี่ไป แล้วก็วางบุหรี่ไว้บนที่เขี่ยที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ขณะที่ลูกสาวคนเล้กก็เดินเล่นไปร้องเพลงไปตามประสาเด้ก
แต่แล้ว...
จู่ๆก็เดินเข้ามาคว้าบุหรี่บนที่เขี่ยยัดใส่ปาก
แกคงจะเห็นที่เราเอาใส่ปากสูบบ่อยๆ อาจคิดว่าเป็นของกินหรืออะไรก็ลองทำตามบ้าง
พอใส่ปากเท่านั้นแหละ แกสะดุ้ง รีบเอามาวางไว้ที่เดิม แล้วเดินเอามือปัดที่ปากจากไป
ผมใจหาย จะห้ามก็ไม่ทัน ได้แต่สงสารลูก
แล้วก็คิดในใจว่า
ไอ้บุหรี่เจ้ากรรม ทำร้ายสังขารเราไม่พอ ยังทำร้ายลูกเราด้วย
หลายครั้งที่พาลูกไปเดินเล่น ใครเห็นก็จะต้องเข้ามาขออุ้ม พอหอมแก้มเท่านั้นแหละ ทุกคนจะร้องว่า
"เหม็นบุรี่จัง"
นั่นเป็นจุดด้อยที่บุหรี่ทำกับลุกผมมานานแล้ว
แล้วคราวนี้ ดูมันจะมากจนผมรู้สึกว่า ผมต้องเลิกบุหรี่แล้ว
แล้วผมก็เริ่มงานเลิกสูบบุหรี่
ผมตระเวณบอกใครต่อใครหลายคน
ทั้งเสี่ยฮุย, ทั้งหัวหน้าห้องฉาย, ทั้งผู้จัดการโรงหนัง,
และ...คุณศิวลี นักพากย์หยิงของผม โดยบอกว่า
วันที่ 8 กรกฎาคมนี้ เป็นวันเกิดของลูกสาวผม วันนั้น ผมจะเลิกสูบบุหรี่เด็ดขาด
ผู้จัดการโรงหนังฟังแล้วก็หัวเราะ บอกว่า
"โอ๊ย เลิกไม่ได้ร๊อก ผมเลิกมาสี่ห้าครั้งแล้ว ยังอดไม่ได้ ต้องกลับมาสูบอีก..."
แล้วก็ถึงวันนั้น...
วันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ.อะไรลืมไปแล้ว
เป็นวันเริ่มสตาร์ทหนังรอบแรกที่นครนนท์ราม่า
เป็นหนังเฉินหลง เรื่องอะไรจำไม่ได้ จำได้แต่นางเอกปาก
กว้างๆ เป็นนักร้อง
พอขึ้นห้องพากย์ ผมย้ำกับคุณศิวลีอีกครั้ง ว่าวันนี้ เป็นวัน
เกิดลูกสาวผม ผมต้องเลิกสูบบุหรี่ให้ได้ เพื่อเป็นของขวัญให้ลูกสาวผม คุณศิวลีพูดยิ้มๆว่า
"เลิกไม่ได้ร๊อก เห็นมาหลายคนแล้ว"
จำได้ว่า วันนั้น ผมพกไฟแช็ครอนสันติดตัวไว้ด้วย แต่ซองบุหรี่ไม่เอามา...
พอหนังขึ้นม้วนสอง เป็นฉากที่นางเอกร้องเพลง
ช่วงนี้ว่างสองสามนาที ผมควักไฟแช็คออกมา แล้วควานหาบุหรี่ด้วยความเคยชิน คุณสิมองหน้า แล้วถามว่า
"หาอะไร?"
"หาบุหรี่..."
ผมตอบ คุณศิวลีก็พูดต่อว่า
"ก็ไหนว่าจะเลิกสูบบุหรี่ให้เป็นของขวัญวันเกิดลูกสาวไง?"
"เออ... จริงสินะ"
ผมพูด แล้วก็เก็บไฟแช็ค พร้อมกับบ่นพึมพำว่า
"เกือบลืมสัจจะแล้วไหมล่ะ..."
ในที่สุด
ผมก็พยายามอดทน
ไม่ยอมกลับไปสูบบุหรี่อีกเด็ดขาด
ก็เพราะกลัวเสียคำพูดที่ได้พูดกับใครต่อใครไว้
อย่างที่เคยบอกไว้ตอนต้นๆ ผมเป็นถือถือสัจจะ
เมื่อพูดอะไรออกไปแล้วต้องทำให้ได้ ตั้งแต่ครั้ง
ที่อยู่กุหลาบทิพย์ ที่ผมเคยพูดกับเพื่อนๆว่า ถ้าผมไม่ได้พากย์เดินสายเรื่อง สิบทหารเสือ ผมจะลาออก แล้วผมก็ทำจริงๆ
มาคราวนี้...ผมต้องทำให้ได้ เพื่อไม่ให้เสียคำพูด
ในสามวันแรก รู้สึกมันทรมานไม่น้อยอยู่เหมือนกัน
แต่พอเลยสามวันไปแล้ว ทุกอย่างก็ค่อยๆคลายลง
จนที่สุด
ผมก็เลิกบุหรี่ได้ตั้งแต่นั้นมา...
และไม่ช้า ก็เลิกดื่มเบียร์อีกอย่างหนึ่ง
เพราะพิจารณาแล้ว ของพวกนี้ เป็นโทษต่อร่างกายทั้งนั้น
ยอมรับว่า
ช่วงที่ผมอยู่นครนนท์นี้มีความสุขสบายมาก
งานและเงินลงตัว ครอบครัวไม่มีปัญหาใดๆทั้งนั้น
จนกระทั่ง...
มาถึงปี พ.ศ. 2539
ผมมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์
คิดว่า น่าจะเกษียณตัวเองจากการพากย์หนังได้แล้ว
ไปพูดเรื่องนี้กับเสี่ยฮุย ท่านบ่นเสียดาย ว่าทุกอย่างก็ปกติดี
แล้วจะเลิกเสียทำไม
แต่อะไรไม่รู้ ทำให้ผมยืนยันว่า ตัดสินใจดีแล้ว
ที่สุดเสี่ยฮุยก็บอกว่า
"ตามใจพี่ชาติ แต่ถ้าพี่ชาติไม่พากย์ ผมก็จะฉายเสียงไทยในฟิล์ม ผมจะไม่หานักพากย์คนใหม่ จะให้พี่ชาติเป็นนักพากย์ตำนานของนครนนท์ราม่า..ตลอดไป"
แล้วจากนั้น
คุณฮุยก็ให้ผมไปทำงานเป็นผู้จัดการโรงหนัง จัสโก้ รัตนาธิเบศร์ โดยให้เงินเดือนๆละ 10000 บาท ซึ่งจำได้แม่นยำว่า ตอนนั้น ทองคำบาทละ 5,000 บาท
ทำหน้าที่ผู้จัดการอยู่ที่ จัสโก้ รัตนาธิเบศร์ เป็นโรงหนังแฝด
3 โรงติดกัน ก็...งานหนักดีเหมือนกัน
ที่ จัสโก้ รัตนาธิเบศร์ ผมได้เด็กหนุ่มคนหนึ่งเป็นผู้ช่วย เขาเป็นเด็กที่นนทบุรี นิสัยดีมาก ช่วยงานผมได้หลายอย่างทีเดียว เขาชื่อ
"บุญเชิด แช่มโชติ"
อยู่จัสโก้ รัตนาธิเบศร์มาได้กี่ปีจำไม่ได้
จนกระทั่ง บริษัท เซนทรัล มาเทคโอเวอร์กิจการไป
โรงหนังทั้ง 3 โรงก็เลยต้องปิดไปด้วย
เสี่ยฮุยจึงจัดการให้ผมไปเป็นผู้จัดการโรงในเครืออีกโรงหนึ่ง
"ผึ้งหลวงราม่า"
อยู่เลยดาวคะนองลงไปนิดหน่อย
เป็นผู้จัดการโรงหนังมาได้สักสามปีกว่ามั้ง
จนมาถึงในราวปี พ.ศ. 2543 เพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งก็แวะมาหา
"อำนาจ เอี่ยมสะอาด"
หรือในนามนักเล่นตลกว่า "อ๋อง ญาติระอา"
หรือในนามพากย์ว่า "มหาอำนาจ"
อ๋อง...เคยมาหาผมหลายครั้งหลายหน ตั้งแต่ครั้งอยู่นครนนท์ อยู่จัสโก้ รัตนาธเบศร์ เคยเดือดร้อนเรื่องค่าเล่าเรียนลูกสาว ผมก็ช่วยไปทุกครั้ง เพราะชีวิตของอ๋องน่าสงสารมาก พากย์หนัง แม้จะเคยไปช่วยพันกวีลูกพี่เขาหลายครั้ง แต่เขาไม่สามารถทำให้คนดูติดได้ มาเล่นตลก เอาหม่ำ จ๊กม๊กมาปั้น หม่ำก็ดังแซงหน้า ทิ้งลูกพี่จากไป จนสุดท้าย เขาได้ "น้องชายที่แสนดี"คนหนึ่ง ชวนไปทำงานด้วยที่
"บริษัท จีเอ็ม จำกัด"
บริษัทผลิตหนัง วีซีดี ออกจาำหน่ายอ๋องออกปากกับผมทื่อๆว่า
"พี่...ไปอยู่จีเอ็มกับผมไหม...
พี่จะทิ้งความรู้ความสามารถด้านการพากย์เสียทำไม
ไปอยู่กับผมเถอะ ที่นั่นมีทั้งงานพากย์หนัง งานทำบทหนัง
และงานสร้างสารคดี..."
อีกแล้วครับท่าน
พระพรหมยื่นหัตถ์มาขีดเส้นชีวิตเส้นใหม่ให้ผมอีกแล้ว
แล้วจะเป็นยังไงต่อไปล่ะ
ไว้พรุ่งนี้มาเล่าต่อครับ...
++++++++++++++++++++++++++
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 25 โดยพี่ชาติ อธิษฐาน

คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
รูปที่นำมาโพสต์ในวันนี้ คือ
รูปผมนั่งข้างกองฟางตอนไปถ่ายสารคดีที่ปราจีนบุรี
รูปต่อมา ซ้ายสุด อรรณพ สิงหกาญจนา ขวาสุด นายอ๋อง
และ...รูปสุดท้าย เจ้านายทั้งสองของบริษัทจีเอ็มที่มีพระคุณ
แต่...วันนี้ผมต้องรีบไปพบหมอตามที่ท่านนัดไว้เมื่อวาน
จะกลับมาเขียนทันหรือไม่ยังไม่รู้เลย
ต้องขอโทษทุกคนด้วยนะครับ
++++++++++++++++++++
11,49 กลับมาแล้วครับ
บันทึกต่อไปเลยนะครับ
...................................
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 25
.....................................
ที่จริง...
ชีวิตตอนนี้ก็พออยู่พอกิน
เงินเดือนพอใช้ ที่พักสบาย มีห้องน้ำส่วนตัว
ตื่นเช้ามา ลงมาข้างล่างก็ถึงตลาดเลย มีของกินสารพัด
มีคลินิกรักษาโรคอยู่ใกล้ๆ มีธนาคารอยู่ไม่ห่างมากมายนัก
แถมมีผู้ช่วยคอยดูแลทุกอย่างแทนตัวเราอยู่ตลอดเวลาของการทำงาน
แล้วจะดิ้นไปหาอะไรอีกล่ะ???
ผมก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน ว่าทำไมถึงเชื่อคำชักชวนของนายอ๋อง
ผมตัดสินใจโทร.ไปขอลาออกจากงานกับเสี่ยฮุยในวันใกล้สิ้นเดือน
เสี่ยฮุยถามมาทางสายว่าเรามีปัญหาอะไรหรือ เราก็ตอบไม่ได้ จึงว่าไปว่า
อยากพักผ่อน เสี่ยก็บอกมาอีกว่า
"พี่ชาติจะลาออกจริงๆก็ไม่ว่าไร แต่ก่อนออก พี่ต้องมาพบผมหน่อย เราอยู่กันมานาน ตั้งแต่ผมมีโรงหนังแค่โรงเดียว จนเดี๋ยวนี้มี 80 กว่าโรง พี่อยู่มาเป็นสิบๆปี ผมมีอะไรอยากพูดกับพี่ พี่หาเวลามาพบผมหน่อยนะ..."
แต่...
พอถึงเวลา
รับเงินเดือนเดือนสุดท้ายแล้ว
ผมก็หายแวบไป ไม่ได้ไปพบคุณฮุยตามที่เขาขอมา...
ผมตัดสินใจมาอยู่กับ บริษัท จี.เอ็ม. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ของคุณ ยี่หง่า กับคุณ ติณณภัสสร์ เตชินท์อัครวินท์
บริษัท จี.เอ็ม. เป็นบริษัทแม่ มีบริษัทในเครืออีกหลายบริษัท
จัดทำและจำหน่ายแผ่นวีซีดี
เช่น สารคดีสัตว์โลกจากต่างประเทศ, สารคดีท่องเที่ยว,
รวมทั้งเป็นผู้ผลิตสารคดีสัตว์โลกในประเทศ, สารคดีพระเกจิดังๆทั่วประเทศ,
รวมทั้งสื่อการศึกษา, และตลกจากคณะต่างๆมากมาย...
บริษัท จี.เอ็ม. มีคุณยี่หง่าเป็นประธาน แล้วก็มีคุณ.....เป็นกรรมการผู้จัดการ คุณอรรณพ สิงหกาญจนา เป็นรองผู้จัดการ ส่วนนายอ๋อง เป็นผู้จัดการทั่วไป
นอกจากผลิตแผ่นวีซีดีออกจำหน่าย ทางบริษัทยังจัดซื้อลิขสิทธิ์หนังการ์ตูน และหนังชุดจากญี่ปุ่นที่กำลังดังๆทางช่อง 9 ยุคนั้น จัดการพากย์ไทยออกจำหน่ายอีกด้วย...
เมื่อผมเข้ามาอยู่กับ จี.เอ็ม ก็ได้รับการต้อนรับจากคุณอรรณพเป็นอย่างดี เพราะเขาเป็นเพื่อนคอเดียวกับพันกวี เคยดื่มเคยกินเคยเที่ยวกันมาอย่างโชกโชน พอรู้ว่าผมเป็นพี่ชายพันกวีก็ให้การต้อนรับอย่างดี ให้ความเคารพเหมือนผมเป็นพี่ชายแท้ๆของเขา
ผมเข้ามาที่นี่ มีหน้าที่พากย์หนัง ซึ่งก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงย้อนกลับมาพากย์อีก ทั้งๆที่บอกเลิกไปแล้ว และงานก็ไม่ได้มีทุกวันเหมือนหนังโรง วันไหนมีก็ได้เงิน ไม่มีก็กลับบ้านมือเปล่า
และ...บางครั้งก็เป็นคนคุมเครื่องให้พวกเด็กๆเขาพากย์ หรือบรรยายสารคดี โดย
ไม่ได้อะไรเลย
ทนทำอยู่เดือนกว่าๆ
ก็มีแม่บ้านเข้ามาบอกกับผมว่า
"เจ้สั่งให้ไปเขียนใบสมัคร"
"เจ้"ในที่นี้ก็คือคุณ ติณณภัสสร์ นายผู้หญิงของบริษัท จี.เอ็ม นั่นเอง
ผมก็เลยเข้าไปหาฝ่ายบุคคล บอกว่า เจ้านายผู้หญิงให้มาเขียนใบสมัคร
เขียนเสร็จส่งให้ฝ่ายบุคคลอ่านดู เขาก็บอกว่า
"โอโฮ อายุตั้ง 63 แล้วหรือคะ?"
"ครับ ขึ้นปีที่ 63 แล้วครับ"
"ขอโทษนะคะ เกิน 60 ไปแล้วเราไม่รับนะคะ"
"ก็เจ้เป็นคนสั่งให้ผมมาเขียนใบสมัครนี่ครับ"
"เอ้อ... แล้วใครเป็นคนรับรองคะ?"
"ไม่มีครับ"
"อ้าว ปกติมาสมัครงาน ต้องมีคนรับรองนะคะ อย่างน้อยต้อง 1 คนค่ะ"
"ก็เจ้เป็นคนให้ผมมาสมัครน่ะครับ..."
ฝ่ายบุคคลมองหน้าผม ผมก็เลยบอกว่า
"ลองโทร.ไปถามเจ้ก่อนก็ได้ครับ"
ฝ่ายบุคคลสาวสวยที่ยังไม่ได้แต่งงาน (ผมมาอยู่ได้สองเดือนเธอก็ส่งการ์ดแต่งงานมาเชิญผม) ถอนหายใจ ยกหูโทร.ไปหาเจ้ อือๆค่ะๆอยู่สักพักก็..
"ตกลงค่ะ..."
เธอเซ็นยุกๆยิกๆ ตรวจความเรียบร้อย แล้วเงยหน้ามองผม พูดยิ้มๆ
"เรียบร้อยแล้วนะคะ...
แหม...เส้นใหญ่จริงๆ..."
ผมเข้าเป็นพนักงานประจำของบริษัท จี.เอ็ม จำกัด
ด้วยเงินเดือนเริ่มต้นเพียง 9,000 บาท ต่ำกว่าที่อยู่นครหลวงไป 1 พัน
แต่ถ้าได้พากย์หนัง ก็จะได้ค่าพากย์อีกต่างหาก จ่ายค่าพากย์ให้เป็นตอนๆไป
ส่วนบ้านที่อยู่...ต้องหาเช่าเอาเอง
ดูเอาเถอะ ดิ้นลงมาหาที่ต่ำ
ไม่รู้จะดิ้นมาทำไม
เมื่อเข้าประจำเป็นพนักงานของบริษัทแล้ว
ผมก็ได้รับหน้าที่เป็นคนควบคุมการพากย์ และบางทีก็คอยติวให้เด็กใหม่ๆ
ที่เข้ามาพากย์
มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อเล่นๆว่า "เบิร์ด"
บริษัทจ้างมาบรรยายสารคดีเรื่องหนึ่ง ให้ผมเป็นคนควบคุม
นายเบิรืดคุยว่า เขาไปหัดพากย์หนังมาจากที่แห่งหนึ่ง เสียค่าหัดไปสองหมื่นบาท คนที่หัดให้เขาเป็นนักพากย์ที่ใครๆเรียกว่า "อาจารย์"
พอมาพากย์...
โอ้โฮ...ไปไม่เป็นเอาเลย
หนังแค่ตอนเดียว พากย์ตั้งแต่บ่ายโมง เสร็จเอาห้าทุ่ม
วันรุ่งขึ้นก็เลยต้องมาสังคายนากันใหม่ คุณอรรณพเองก็ถึงกับส่ายหน้า
แล้วพูดกับผมว่า
"พี่ชาติช่วยติวให้เขาหน่อย"
ผมต้องใช้เวลาปลุกปล้ำอยู่นาน
แต่ดีที่นายเบิร์ดเป็นเด็กนิสัยดี ว่าง่าย ให้ความเคารพและเชื่อฟังเป็นอย่างดี
ไม่กี่วันต่อมา เจ้านกตัวนี้ก็เริ่มบินได้อย่างเข้มแข็ง จนต่อมา เขาก็ผาดโผนได้อย่างไม่น้อยหน้าใคร มีผลงานออกทีวีมากมายหลายเรื่อง
มีหลายคนเหมือนกัน
ที่มาพูดให้เข้าหูผมบ่อยๆว่า นายเบิร์ดพูดกับเขาว่า
"ผมไปหัดพากย์หนังมา เสียงสองหมื่นแต่พากย์หนังไม่ได้ มาอยู่กับอาชาติ ผมพากย์หนังได้ โดยไม่ต้องเสียสักสตางค์"
ผมยังคงทำงานเป็นปกติต่อมา
จนกระทั่ง มาถึงจุดหักเหของชีวิตอีกครั้งหนึ่ง
จำไม่ได้ว่าเป็นวันเดือนปีอะไร จำได้เพียงว่า มีหนังไทยเกี่ยวกับจระเข้เรื่องหนึ่งเข้าฉายโรงชั้นหนึ่งในกรุงเทพฯ
"ไอ้ด่างเกยไชย..."
ผมอ่านโฆษณาก็รู้ทันที หนังเรื่องนี้เคยสร้างออกฉาย และเจ๊งมาแล้ว จึงพูดกันในหมู่พนักงาน ซึ่งมีคุณอรรณพนั่งอยู่ด้วยว่า
"ไอ้หนังเรื่องนี้มันจะหาเรื่องเจ๊งเป็นครั้งที่สอง"
คุณอรรณพสงสัย ก็ถามผม ผมจึงเล่าคร่าวๆให้เขาฟังว่า
ที่จริง หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องของจระเข้ ไอ้ด่างชุมพร ที่เคยเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์โด่งดังมาแล้ว แต่กลับมาใช้ชื่อว่า ไอ้ด่างเกยไชย
ไอ้ด่างเกยไชยนั้น มันเป็นจระเข้น้ำจืด ที่มีตัวตนจริงๆอยู่ที่ตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อสักร้อยปีมาแล้ว มันอาละวาดกินคนไปราวร้อยศพ จนทางการต้องใช้ทหารนั่งเรือไปรุมยิงมันตาย เมื่อลากศพมันขึ้นมาผ่าท้องดู ปรากฏว่ามีทั้งสร้อยทอง แหวนทอง นาฬิกาข้อมืออยู่ในท้องมันมากมาย และของเหล่านั้น ตอนนี้ยังเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของวัดเกยไชยเหนือ ริมแม่น้ำน่านกับแม่น้ำยมที่ไหลมาบรรจบกัน ที่อำเภอชุมแสง ใครผ่านไปก็ไปขอดูได้เลย นี่คือเรื่องจริง
คุณอรรณพฟังจบก็ร้องว่า
เรื่องนี้ต้องทำเป็นสารคดีแล้ว
แล้วก็บอกว่า พี่ชาตินั่นแหละ ต้องเป็นคนทำ
"เฮ้ย.. ผมเคยแต่พากย์หนัง ผมยังไม่เคยสร้างหนัง ผมจะทำได้ยังไง?"
"ก็ทำอย่างที่พี่ชาติเล่ามานั่นแหละ เขียนบทเข้า แล้วก็ยกกองไปถ่ายทำสถานที่จริงเลย เดี๋ยวผมไปเสนอเอีย ขออนุมัติเลย รับรองต้องผ่านแน่ พี่ชาติเตรียมตัวเป็นผู้กำกับหนังได้เลย..."
เอาละซี...
อยู่ดีๆจะได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้กำกับแล้วเรอะ
แล้วก็จะต้องเขียนบทสคริปส์สำหรับการถ่ายทำอีกด้วย
เกิดมาท้องพ่อท้องแม่เคยทำเสียที่ไหนล่ะ แล้วจะทำได้หรือเปล่าล่ะ???
ครับ... จะทำได้หรือเปล่า
ไว้พรุ่งนี้ผมมาเล่าต่อดีกว่านะครับ...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 26 โดยพี่ชาติ อธิษฐาน
14 ธ.ค. 60
คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
ภาพทั้งสามที่นำมาลงในวันนี้
คือปกสารคดีที่ผมจัดทำให้กับบริษัทจีเอ็มครับ
++++++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 26
.....................................
สำหรับผมแล้ว...
งานใดที่ยังไม่เคยได้ทำ
ย่อมเป็นเรื่องท้าทายสำหรับผมเสมอ
เมื่อคุณอรรณพ สิงหกาญจนา รองกรรมการผู้จัดการ สั่งให้ผมทำ ผมจึงไม่รีรอที่จะกระโดดเข้าใส่ เพื่อลองของใหม่ ตามนิสัยของผม...
และนี่
เป็นจุดหักเหอีกจุดหนึ่งในชีวิตของผม
จากนักพากย์ จากผู้จัดการโรงหนัง มาเป็นนักเขียนบท และกำกับสารคดี
แม้ไม่เคยทำ ผมก็จะลองทำ มันคงไม่ยากเกินไปสำหรับคนอย่างผม...
จากนั้น...
ผมก็เริ่มเขียนบท...
ผมสืบค้นหาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับจระเข้
และประวัติโดยละเอียดของ ไอ้ด่างเกยไชย เพชฌฆาตร้ายแห่งลำน้ำยมและลำน้ำน่านที่กินคนไปนับร้อยชีวิต
เริ่มต้น...
ผมกล่าวถึงความเป็นมาของจระเข้ ที่ถือกำเนิดขึ้นในโลกเมื่อประมาณ 40-50 ล้านปี แล้วค่อยๆกลายพันธ์ตามวันเวลา จนมาเป็นจระเข้อย่างที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
และจระเข้ในโลกนี้ จะมีอยู่บางประเทศ เช่น ที่แอฟริกา อเมริกาบางส่วน ออสเตรเลีย และทวีปเอเซีย
และ...จระเข้เอเชียที่ดุร้ายที่สุดก็ต้องที่
ประเทศไทย...
จระเข้ประเทศไทย ที่ดุร้ายที่สุด และโด่งดังที่สุดก็ต้อง
จระเข้ที่จังหวัดพิจิตร จระเข้ดังที่สุดของจังหวัดพิจิตรก็คือ
ชาละวัน...
แต่...
ชาละวันเป็นจระเข้ในตำนาน กึ่งนิทาน
ส่วนจระเข้จริง มีชีวิตจริง มีหลักฐานยืนยัน ก็คือ
ไอ้ด่างเกยไชย...
เขียนบทจบ เขียนโปรเจ็คงานเสร็จ
คุณอรรณพก็นำไปเสนอขออนุมัติจากกรรมการผู้จัดการใหญ่
นามว่า...เฮียเส็ง
และท่าน...ไม่อนุญาต
ท่านให้เหตุผลว่า จระเข้ไทยไม่มีอะไรน่าสนใจ
โดยเฉพาะคนเขียนบทมือใหม่ ยังไม่มีผลงานเป็นที่รับประกัน
เผลอๆอาจเจ๊ง!!!
คุณอรรณพไม่ย่อท้อ วางแผนซ้อนแผนทันที
โดยออกอุบายให้ พระเอกหนังไทยที่กลายมาเป็นผู้กำกับสารคดี คือ ปรีชา เกตุคำ ซึ่งตอนนั้นสร้างสารคดีให้บริษัทจีเอ็มมาสองสามเรื่องแล้ว เป็นที่ไว้วางใจ วางแผนสร้างสารคดีเรื่องใหม่ เกี่ยวกับช้างไทย เบิกงบประมาณเป็นสองเท่า แล้วให้คุณปรีชา เป็นหัวหน้าทีม นำผมไปถ่ายทำสารคดีเรื่อง ไอ้ด่างเกยไชย ซึ่งคุณปรีชาเคยรู้จักมักคุ้นกับผมมาตั้งแต่ผมไปสอนให้แกพากย์หนังเรื่อง คนแดดเดียวโน้นแล้ว คุณปรีชานับถือผม เรียกผมว่าพี่ชาติทุกคำ และยินดีทำงานชิ้นนี้กับผมโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ
จากนั้นเราก็ออกเดินทาง
จากกรุงเทพฯ มุ่งสู่จังหวัดพิจิตร เพื่อเก็บภาพและประวัติของจระเข้ตัวแรก คือ ชาละวัน พร้อมกับสัมภาษณ์คนเก่าคนแก่ของเมืองถึงเรื่องจระเข้ไอ้ด่างเกยไชย
แล้วล่องลงมาตำบลเกยไชย อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เราไปถ่ายทำกันที่วัดเกยไชยเหนือ ซึ่งตั้งอยู่บนแม่น้ำสามแยกที่สวยที่สุด คือที่ๆแม่น้ำน่านไหลลงมาบรรจบกับแม่น้ำยม แล้วรวมกันไหลเลยลงสู่ปากน้ำโพ รวมกับแม่น้ำปิงและแม่น้ำวัง กลายเป็น 4 แคว ล่องลงมาเป็นเจ้าพระยา...
ที่วัดเกยไชยเหนือ
มีพิพิธภัณฑ์ เก็บของบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับไอ้ด่างเกยไชย
เช่น สร้อยข้อมือ นาฬิกา และสร้อยคอ แหวน ที่ผ่าออกมาจากท้องของไอ้ด่างเกยไชย
เมื่อเสร็จจากการถ่ายทำ
ผมก็เข้าห้องตัดต่อ เรียงร้อยภาพต่างๆตามบทที่เขียนไว้
แล้วให้เด็กตัดต่อมาช่วยจัดการเชื่อมภาพให้เป็นที่เรียบร้อย
เสร็จแล้วผมก็หาเพลงประกอบเอง และลงเสียงพากย์เอง โดย
พากย์อย่างเต็มร้อยไปเลย...
เสร็จแล้วส่งให้คุณอรรณพดู คุณอรรณพก็ไปเอานักพากย์ที่ชื่อ "อาจารย์ดำ" มาลงเสียง โดยคัดเสียงผมออก
เมื่อเสร็จแล้ว ผ่านการเซ็นเซอร์แล้ว
ก็ออกวางตลาด ใช้ชื่อว่า
"ไอ้ด่างเกยไชย โคตรจระเข้"
โป๊ะเชะ!!!
แจ็กพอต!!!
ยอดขายพุ่งกระฉูดจนต้องปั๊มแผ่นเพิ่มเป็นครั้งที่ 3
พอขึ้นครั้งที่ 4 ที่ 5 เจ้ก็เรียกตัวผมไปพบ ชมเชยเป็นการใหญ่
ว่าตั้งแต่ทำแผ่นวีซีดีออกขาย ไม่เคยมีเรื่องไหนยอดทะลุเหมือนหนังพี่ชาติเลย
ผม.. คุณอรรณพ... และทีมงาน... ต่างหน้าบานไปตามๆกัน
ยกเว้นคนเดียว
"เฮียเส็ง"
ซึ่งพยายามคัดค้านงานของผมมาตั้งแต่แรก...
เมื่อมีเรื่องแรก
มันก็ย่อมต้องมีเรื่องที่สอง
เฮียยี่หง่าไฟเขียวให้ผมอยู่ในฐานนะผู้สร้างสารคดีของจีเอ็ม
และบอกว่า เรื่องต่อไปอยากทำเรื่องอะไรเสนอมาที่ผมโดยตรง สำหรับพี่ชาติผมผ่านให้ตลอด
นั่นเอง...ผลงานเรื่องที่สองของผมจึงเริ่มขึ้น
"5 อรหันต์ทองคำ"
เป็นอัตโนประวัติของสุดยอดพระเกจิระดับอรหันต์ทองคำ 5 องค์ จาก 5 ภูมิภาคของประเทศไทย
1, หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด แห่งภาคใต้
2, สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งภาคกลาง
3, ครูบาศรีวิชัย แห่งภาคเหนือ
4, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร แห่งภาคอีสาน และ
5, หลวงปู่คร่ำ ยโสธโร แห่งภาคตะวันออก
ผมพยายามขุดลึกถึงประวัติของพระอรหันต์ทั้ง 5 อย่างชนิดที่หลายคนดูแล้วทึ่ง เช่น
หลวงปู่ทวด...ท่านเกิดช่วงปลายสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อบวชแล้วขึ้นมาอยู่อยุธยาในสมัยของ ขุนศึกยามาด้า นักรบญี่ปุ่นที่มาดังในกองทัพไทย
สมเด็จโต...ผมเน้นที่ประวัติตอนเดินธุดงค์ผ่านดงพญาเย็น
ครูบาศรีวิชัย ผมเน้นช่วงที่ท่านเป็นแม่กองสร้างถนนขึ้นสู่ดอยสุเทพที่เชียงใหม่
หลวงปู่ฝั้น...เน้นถึงตอนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ เสด็จไปในงานเผาศพท่าน
แล้วสองพระองค์ทรงประทับคุกเข่าลงกราบศพพระอาอาจารย์ฝั้น ผมใช้คำว่า
"ฟ้า...โน้มลงสู่ดิน"
และ...หลวงปู่คร่ำ เน้นเน้นตอนที่ชาวประมงขอให้ท่านห้ามฝน
เมื่อเสร็จแล้ว ส่งให้เฮียดู เฮียบอกว่า ให้ใช้เสียงพี่ชาติที่พากย์ไว้นี่แหละ ได้อารมณ์ดีมาก ต่อไปหนังทุกเรื่องของพี่ชาติ ให้ใช้เสียงพี่ชาติ ห้ามเอาเสียงคนอื่นมาพากย์ทับ
5 อรหันต์ทองคำ
ผลงานเรื่องที่สองของผม
ทำความดีใจให้เฮียกับเจ้อย่างมาก
เพราะยอดจำหน่ายพุ่ง ถึงกับต้องสั่งปั๊มเพิ่ม 3-4 ครั้ง
จนมาถึงเรื่องที่ 3
"ยัมโบ้ ช้างน้อยหัวใจโต๋"
สารคดีเรื่องนี้เป็นส่วนผสม ระหว่างสารคดีกับหนังเรื่อง
เหตุเกิดเพราะผมได้ดูสารคดีต่างประเทศเรื่องหนึ่ง เห็นภาพ
ฝูงหมาป่าไฮยีน่าห้าหกตัวรุมกัดลูกช้างน้อย ก็เกิดจินตนาการ
จึงระดมหาหนังที่เกี่ยวกับช้างและลูกช้างหลายม้วนเอามานั่งดู แล้วก็มาร์คภาพที่ต้องการไว้ จนได้สมใจแล้วก็มาเขียนบท
เมื่อตัดต่อเสร็จก็ลงเสียงพากย์ทันที จำต้องใช้ทีมพากย์ เพราะผมเขียนบทให้พวกลูกช้างและสัตว์ต่างๆพูดได้ จึงต้องใช้ทีมพากย์จากช่อง 9
หนังเดินเรื่องว่า
ยัมโบ้ ช้างน้อย เป็นลูกของหัวหน้าโขลงแห่งป่าเหนือ
แต่ป่าเหนือยังมีการล่าช้าง ถึงฤดูการล่า พวกพรานจะยกโขยงมากันหลายกลุ่ม พ่อของยัมโบ้จึงพาโขลงช้างหนีลงมาอยู่ป่าใต้ แล้วย้อนกลับไปช่วยอพยพพวกที่เหลือลงมา แต่โชคร้าย พ่อของยัมโบ้ถูกพรานยิงตาย
ส่วนโขลงของยัมโบ้ที่อยู่ภาคใต้ เกิดเหตุร้าย
ตอนค่ำวันนั้น เกิดพายุทราย ทำให้ยัมโบ้พลัดหลงกับแม่ กับโขลง ยัมโบ้ตระเวนไปขออยู่กับโขลงไหนเข้าก็ขับไล่และทำร้าย เพราะโขลงช้างป่าใต้จะไม่รับลูกช้างที่อื่นมาเข้าฝูง
จนที่สุด...
ยัมโบกระเซอะกระเซิงไป
เจอเข้ากับฝูงหมาป่าไฮยีน่าห้าหกตัว
ไฮยีน่า เป็นหมาป่าที่โหดร้ายที่สุดของแอฟริกา
พวกมันห้าหกตัวรุมกัดช้างน้อยยัมโบ้อย่างบ้าเลือด
และก่อนที่จะถึงภาพยัมโบ้ทรุดร่างลง ผมก็ฟรี้ดภาพค้างไว้
แล้วขึ้นอักษรเครดิตส์ทีมงาน เป็นอันจบ...ค้างภาพไว้แค่นั้น
แล้วก็เกิดเรื่องกระจองอแง
นักพากย์หญิงสองคนร้องไห้ แล้วต่อว่าผม
"พี่ชาติทำหนังยังไง ถึงให้จบเศร้าแบบนี้..."
ผมก็ได้แต่หัวเราะ แล้วก็แอบนึกภูมิใจว่า
"เออ งานสร้างหนังสารคดีของเรา ก็เป็นผลสำเร็จนะ
สามารถบีบอารมณ์ได้ แม้กระทั่งนักพากย์..."
ยัง...
ยังครับ...ผมยังสนุกกับการเขียนบทและกำกับสารคดีต่อมา
แต่วันนี้...เอาไว้แค่นี้ก่อนนะ
พรุ่งนี้จะมาเล่าต่อครับ...
อย่าเพิ่งเบื่อเสียก่อนนะครับ
+++++++++++++++++++++++++++
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 27 โดยพี่ชาติ อธิษฐาน
16 ธ.ค. 60
คุณมนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
รูปที่ลงวันนี้ รูปการ์ตูนตัวผม เด็กฝ่ายศิลป์เขียนให้
ต่อมาเป็นรูปนายอ๋องกับคุณอรรณพ สิงหกาญจนา
และสุดท้าย ไม่ใช่รูปพระเอกนางเอกหนังเกาหลี แต่
เป็นคุณ ยี่หง่า กับคุณ ติณณภัสสร์ เจ้านายของบริษัทจีเอ็ม
++++++++++++++++++++++++++

ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 27
....................................

ชีวิตนักพากย์ตอนนี้...คงจะเป็นตอนสุดท้ายแล้ว
เพราะเรื่องเกี่ยวกับการพากย์หนัง ผมได้เล่าทุกแง่ทุกมุมแล้ว
ที่เหลือจะเล่าในวันนี้ เกี่ยวกับการเขียนหนังสือครับ

ผมสนุกกับการเขียนบทหนังสารคดี
ทำอย่างสบายๆ ไม่มีความกดดันจากฝ่ายไหนๆ
ทุกวันจะนั่งหน้าจอคอมพ์ ค้นหาข้อมูลของเรื่องที่จะทำ
เขียนบทเสร็จ ก็จะยกกองไปถ่ายทำตามสถานที่ต่างๆ
แล้วกลับมานั่งเลือกภาพให้ปะติดปะต่อตามบทที่เขียนไว้
แล้วส่งให้เด็กช่างตัดต่อช่วยเชื่อมภาพ จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ แล้วจึงมานั่งดูความเรียบร้อย จากนั้นก็คิดและหา
เพลงประกอบให้เหมาะสมกับเนื้อหานั้นๆ
สุดท้าย...ก็เข้าห้องพากย์
เมื่อสมบูรณ์ทุกส่วน ก็ส่งให้ประธานกับคณะกรรมการดู
ว่ามีอะไรตรงไหนที่จะต้องซ่อมหรือแก้ไข
แต่...สาบานตรงๆ
ตั้งแต่ทำหนังให้จีเอ็ม
ไม่เคยมีเรื่องไหนต้องซ่อม แก้ไข ดัดแปลง หรือเปลี่ยนแปลงเลย ทุกเรื่อง ทุกครั้ง จะผ่านตลอด...ไม่ได้โม้

และแล้ว...
ก็มีอีกสิ่งหนึ่ง...
ที่เกิดขึ้นกับผมในตอนนั้น...คือ
เมื่อว่างจากงาน ผมจะเกิดจินตนาการ
แล้วก็เขียนเป็นเรื่องราวขึ้นมา มากมายหลายเรื่อง
ที่เป็นเรื่องสั้น...มี 11 เรื่อง คือ
ไอ้โจร
เลี้ยงลูกให้เป็นโจร
ตกกระไดพลอยโจร
ผีปู่ผีย่า
ลาก่อนทิพย์
แม่มดมหานคร
ซาตานเขี้ยวหัก
ศึกจอมขมังเวทย์
เรื่องไม่เป็นเรื่อง
เรื่องของคุณพยุง
เซี่ยงจี๊ จอมยุทธจากเซี่ยงไฮ้

แล้วก็เขียนนิทานสำหรับเด็ก
ชุดเจ้าชาย...มีเรื่อง
เจ้าชายมดตะนอย
พระราชานิทรากับปักษาสวรรค์
และ เจ้าชายคางคกกับผีฟ้าหน้าดำ

ชุดต่อมาเป็นนิทานสำหรับเด็ก
ชุดเจ้าหญิง...มีเรื่อง
เจ้าหญิงน้อยแห่งวังตะวันออก
นางฟ้าหมาขาว
สาวน้อยอินถวากับน้ำตาจระเข้
ช้างน้อยธรรมทูต
และ พรานป่ากับแม่วัววิเศษ

จากนั้นก็มาหัดเขียนสคริปต์สำหรับถ่ายทำหนังใหญ่
มีเรื่อง...
ผี?
ยาสั่ง
หมู่บ้านผีปอบ
และโครงเรื่องสำหรับเขียนบท คือ
วิญญาณรักนางตานี
และ ตำนานรักเมืองลับแล

ส่วนนิยายก็มี
พรายน้ำ
สางเขียว
ไทรโยค
อันเรือมส์เดือง
อิรวดีสีเลือด
อีจงอาง
แต่...
นิยายทั้งหมด ผมเขียนเสร็จก็รีบเอาออกจากเครื่อง
เพราะคิดว่า เมื่อผมออกจากบริษัทไปแล้ว หากเครื่องนี้ไปตกอยู่กับใคร เขาอาจขโมยเรื่องของผมไป จึงเก็บใส่ไว้ใน ยู.เอส.บี.อันหนึ่ง..ต่างหาก
แต่ต่อมา
ไอ้ยูเอสบีตัวนั้นเกิดเสีย ข้อมูลในนั้นหายหมด
ส่งให้หลายคนช่วยกู้อย่างไรก็ไม่ได้คืน
ผมเสียดายมากๆ
เรื่องไทรโยค ผมเขียนขึนมาจากคำพูดของน้าดิน (ดอกดิน กัญญามาลย์) ที่บอกว่า ลองเขียนนิยายมาสักเรื่อง ถ้าดีจะทำเป็นหนัง จะคิดค่าเรื่องให้
ตอนผมเดินทางไปพากย์หนังเรื่องลูกปลา เมื่อปี 2511 ที่อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง บังเอิญคืนนั้นไฟฟ้าดับ หนังไม่ได้ฉาย ผมเลยไปขอเทียนไขจากผู้จัดการโรงแรมมาจุด
แล้วนั้งเขียน

ไทรโยค
เริ่มเรื่องขึ้นที่พม่า
ทหารก่อการปฏิวัติ นายกรัฐมนตรี ท่านเจ้าสุเนงโบ (เชื้อพระวงศ์องค์สุดท้าย) พาธิดาชื่อมะขิ่น หนีมาเมืองไทยที่ตำบลวังน้ำเย็น อ.ไทรโยค พบกับกำนั้นท้วม ให้ที่พักอาศัย แล้วส่งข่าวให้ทางการรู้
ทางการส่งนายทหารยศพันตรีชื่อ ไทร กับเพื่อนที่เป็นนายพันตำรวจตรีชื่อ สารวัตรชุบมาสืบคดี มาพบกับมะขิ่น รู้จักกัน
ทางคณะปฏิวัติที่พม่าส่งกองกำลังมาตามล่า แต่ไม่กล้าเข้าเขตไทย จึงติดต่อให้เสือเทิ้ม (ที่จริงเป็นลูกกำนันท้วม) แกล้งทำเป็นเข้าปล้นเพื่อหาทางฆ่าทุกคนให้หมด
ไทรกับสารวัตรชุบรู้เรื่องรีบเข้าไปช่วยพากันหนีออกมา แต่
ท่านเจ้าสุเนงโบถูกยิง ก่อนตายมอบแหวนประจำตระกูลให้ลูกสาว ไทรกับสารวัตรชุบพามะขิ่นกับคนรับใช้ชายชื่อ มะกรูด
หนีมาถึงกรุงเทพฯ
บังเอิญท่านเจ้าคุณนายทหารนอกราชการพ่อของไทรป่วย ต้องไปผ่าตัดที่อเมริกา ไทรจึงมอบมะขิ่นให้กับแม่เลี้ยงช่วยดูแล
พอไทรไม่อยู่ แม่เลี้ยงกับหลานสาวที่คิดจะครอบครองบ้านนี้จึงหาทางแกล้ง จนมะขิ่น มะกรูด กับสาวใช้ประจำบ้านชื่อ มะนาว พากันหนีเตลิดไปอาศัยยายขายน้ำตาลสดอยู่ที่บ้านสวนฝั่งธน
เมื่อพ่อกลับมา ไทรกับสารวัตรชุบออกตามหามะขิ่น มะกรูด กับมะนาว จนพบมาเดินหาบน้ำตาลสดแทนยายที่กำลังป่วย จึงพามาพบพ่อ
ท่านเจ้าคุณเห็นแหวนที่นิ้วมะขิ่นก็จำได้ ว่านี่เป็นแหวนประจำตรกูลของท่านเอง ที่มอบให้เพื่อนไว้ สมัยเป็นแม่ทัพไปปราบฮ่อ แล้วถูกพวกฮ่อล้อมยิง พอดีนายทหารพม่าพากองกำลังมาช่วยไว้ จึงสาบานเป็นเพื่อนกัน แล้วแลกแหวนประจำตระกูลกัน พร้อมกับโชว์แหวนที่แลกมากับเพื่อน ที่ชื่อ สุเนงโบ นั่นเอง มะขิ่นก็บอกว่า ท่านเจ้าสุเนงโบคือบิดาของเธอ
เมื่อเรื่องลงเอย ท่านเจ้าคุณได้จัดพิธีหมั้น มีงานฉลอง
คืนนั้น เสื้อท้วมแอบมาลักพาตัวมะขิ่นไป
พอทั้งหมดรุ้เรื่อง ไทรกับสารวัตรชุบก็นำกำลังติดตามไปที่ไทรโยค
งานนี้ กำนันท้วมมาร่วมปราบ แกพยายามกล่อมเสือเทิ้มลูกชายให้มอบตัว แต่เขาไม่ยอม บอกให้พ่อหลีกทาง กำนันเลยตัดสินใจยิงลูกชายตัวเองตาย
เรื่องก็จบลงตรงที่ช่วยนางเอกกลับกรุงเทพฯได้

กับอีกเรื่อง...ที่รักมากๆ เสียดายมากๆ คือ
"พรายน้ำ"
เป็นเรื่องของชายสามหญิงสองจากกรุงเทพฯ
ไปเที่ยวพักผ่อนวันสงกรานต์ที่แพราตรีรีสอร์ท
ซึ่งอยู่ที่บริเวณไม่ห่างจากเขื่อนศรีนครินทร์ที่เมืองกาญน์
ตกกลางคืน นายเดี่ยว ผู้มาเดี่ยว ไม่มีผู้หญิงมาด้วย นั่งแต่งเพลงอยู่ริมแพ แล้วมีผู้หญิงลอยน้ำมาหา ทำท่าจะมีอะไรกัน
แล้ววันรุ่งขึ้น ก็พบนายเดี่ยวเป็นศพเปลือย อวัยวะถูกกระทำรุนแรง
เพื่อนบ้านมาบอกนายนรากับจิตรีเจ้าของแพรีสอร์ทว่า ราตรีลูกสาวแกก่อนเรื่องอีกแล้ว
เหตุการณ์ทำนองเดียวกันเกิดขึ้นอีกสองครั้ง ผู้ชายอีกสองคน
ที่มาด้วยกัน ตายเหมือนๆกัน แล้วก็มีข่าวเล่าลือว่า ต้นเหตุการตายเกิดจาก ราตรี ลูกสาวของนรากับจิตรีเจ้าของรีสอร์ท
แล้ววันต่อมา
ก็มีรถตู้เข้ามาจอดที่ร้านขายของของนรากับจิตรี
ขบวนขันหมากลงมาจากรถ ชายหนุ่มชื่อ "ทิวา" พาแม่ยกขันหมากลงมา แต่นรากับคว้าปืนมาจะยิง ว่าเป็นตัวต้นเหตุให้ลูกเขาตาย
เรื่องจึงปรากฏว่า เจ้าสาวที่จะมาขอ ชื่อ ราตรี นั้น ตายไปสามเดือนแล้ว สาเหตุเพราะ ทิวาได้เสียเธอจนท้องแล้วหนีเข้ากรุงเทพฯ เธอเสียใจจนไปกระโดดน้ำตาย
ทิวาบอกว่าไม่ได้หนี แต่พอรู้ว่าราตรีท้องก็แอบไปกรุงเทพฯ เพื่อบอกแม่ให้ยกขันหมากมา หวังจะให้ราตรีเซอร์ไพรซ์ แต่ตอนไปเบิกเงินที่ธนาคาร ถูกผู้ร้ายแย่งเงิน เขาต่อสู้ จึงถูกแทงทะลุปอด ต้องนอนโรงพยาบาล พอหายก็รีบมา
นราจึงเล่าว่า ราตรีลูกสาว ตายแล้วก็ฝังใจโกรธคนกรุงเทพฯ ผู้ชายที่มาพักที่แพราตรีรีสอร์ทถูกเธอฆ่าตายมา 9 ศพแล้ว วิญญาณเธอเฮี้ยนมากๆ
ทั้งหมดจึงตกลงไปตามหมอผีกะเหรี่ยงมาทำพิธี
ในคืนนั้น
ผีกับคนก็เผชิญหน้ากัน
ผีของราตรีแค้นทิวามาก
ทิวาก็อธิบายจนเธอเข้าใจ
แล้วก็โอดครวญว่า พระเบื้องบนคงสาปไว้ ทิวากับราตรีไม่ใช่ของคู่กัน จะพบกันได้ชั่วเดี๋ยวเดียวคือเวาลา "สนธยา"
แล้วราตรีก็อุ้มเอาลุกออกมาให้ดู บอกว่านี่คือลูกของเรา ลูกของทิวากับราตรี เขาชื่อสนธยา
(มีความหมายว่า เรื่องนี้ต้องมีภาค 2 แน่)
เรื่องจบลงด้วยผีกับคนเข้าใจกันได้
รุ่งขึ้นทิวาโกนหัวบวชเพื่อจัดการเผาศพของราตีที่ยังเก็บไว้ที่วัด พร้อมศพผู้ชายอีก 9 ศพ
นิยายเรื่องนี้...
มีจุดสำคัญที่ผมบรรยายว่า
ก่อนผีราตรีจะปรากฏขึ้นมาฆ่าใคร
จะมีร่างหญิงสาวเปลือย ขาวจนเขียวเหมือนหยก
ว่ายมาใต้น้ำชั่วครู่ เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์ของ...พรายน้ำ

เฮ้อ...เสียดาย
ข้อมูลมันลบหายไป
กู้อย่างไรก็ไม่ได้กลับคืนมา
แต่มีคนบอกว่า ข้อมูลในเครื่อง แม้ลบไปแล้ว แต่ช่างที่เก่งจริงๆจะสามารถกู้คืนได้ แล้วจะไปหาช่างเก่งๆที่ว่าได้ที่ไหนล่ะครับ เพราะเครื่องที่ว่า ตอนนี้เจ้านายมอบให้ผมมาหลังจากออกจากบริษัทแล้ว มันยังไม่ได้ถูกซ่อมหรือดัดแปลงใดๆเลย...

ตอนนี้...
ผมออกมาจากบริษัท จี.เอ็ม. แล้ว
ที่ออกมา...ด้วยเหตุผลว่า งานขายแผ่นวีซีดีตกต่ำมาก
เมื่อไม่คุ้มกับการลงทุน บริษัทจึงเบนเข็มมาผลิตสินค้าอย่างอื่นขาย แล้วปิดแผนกทำแผ่นสารคดีไป ประกอบกับตอนนั้น
ผมอายุ 79 ปีแล้ว ทำงานกับจีเอ็มมาตั้งแต่ปี 2543 จนมาถึง 2559 รวมเวลา 17 ปีเต็มๆ จึงควรเกษียณได้แล้ว

ตลอดเวลาที่ทำงานกับบริษัทจีเอ็มมา
ได้นายอ๋อง กับ คุณอรรณพ สิงหกาญจนา กรรมการผู้จัดการใหญ่ คอยช่วยเหลือให้ความสะดวกมากมายหลายอย่าง
กับเจ้านายทั้งสอง คุณยี่หง่า กับคุณ ติณณภัสสร์ เตชินท์อัครวินท์ ท่านก็ดีกับผมมากๆ ตลอดเวลา 17 ปีที่ทำงาน ผมไม่เคยถูกท่านทั้งสองตำหนิติบ่น ไม่ว่าเรื่องอะไร
ถึงปีใหม่ก็มีโบนัส
ถึงตรุษจีนก็มีแต๊ะเอีย
เขียนบทหนังแต่ละเรื่อง จะจ่ายค่าเหนื่อยให้ต่างหากอีกเรื่องละครึ่งหมื่น
ยามเจ็บไข้ได้ป่วย ผมจะหาหมอโรงพยาบาลชั้นหัวแถว เช่น กรุงเทพ หรือไม่ก็ เซ็นต์หลุยส์ ไปครั้งหนึ่ง 5 พันบ้าง 7 พันบ้าง กลับมาแล้วนายผู้หญิงก็กรุณาเตือนว่า ให้เอาใบเสร็จไปเบิกกับหัวหน้าบัญชี...เป็นแบบนีทุกครั้ง
ยังนึกถึงน้ำใจของท่านทั้งสองไม่หาย

ก่อนจะถึงบทสุดท้าย
ใครคนหนึ่งเคยโพสต์ถามผมว่า
ในชีวิตการพากย์หนังมา มีเรื่องไหน
ที่ตัวเองภาคภูมิใจมากที่สุด ก็ขอตอบไว้ตรงนี้ว่า
"พันท้ายนรสิงห์"
เรื่องมีอยู่ว่า
มีการขุดพบซากหัวเรือเอกชัย ที่พันท้ายนรสิงห์คัดท้ายเรือไปชนต้นไม้หักลงในคลองโคกขาม แล้วเอามาไว้ที่วัด จัดงานฉลองด้วยการเอาหนังเรื่องพันท้ายนรสิงห์มาฉาย
เจ้าของหนังคือ คุณ หรุ่น รองรัตน์ ไม่มีนักพากย์ จึงมาขอจากกุหลาบทิพย์ภาพยนตร์ ลุงเล็กก็ให้ผมไปพากย์
คืนนั้น...ก่อนฉายหนัง
มีการบวงสรวงวิญญาณพันท้าย
พราหมณ์กำลังทำพิธี ผมก็เข้าไปขอร่วมในฐานะผู้ที่จะพากย์หนังเรื่องนี้ พราหมณ์ให้ผมจุดธูปบอกกล่าว...

หนังเรื่องนี้ผมยังไม่เคยได้ดู
ก่อนมาก็ไม่มีเวลาซ้อมหน้าหนัง
ผมกับคุณภาวนาจึงใช้เวลาว่างก่อนฉาย อ่านบทเพื่อทำความเข้าใจ
แล้วผมก็เป็นคนแปลก เมื่ออ่านบทแล้วผมจะจำได้แม่นยำ
ถึงเวลาฉาย...ก็เดินเรื่องไปได้อย่างราบรื่น
จนมาถึงฉากสำคัญ...ที่ประทับใจมาจนทุกวันนี้ คือตอน

สิน หรือพันท้ายนรสิงห์ ซึ้งแสดงโดยพระเอกนักมวย ชูชัย พระขรรค์ชัย กำลังอำลาเมียรัก นวล ที่แสดงโดย สุพรรณ บูรณพิมพ์ ซึ่งมันแปลกอยู่ที่ว่า คนดูทุกคนต่างรู้ตอนจบหมดแล้ว ว่า สิน ลาเมียครั้งนี้ แล้วเขาจะไปตาย แต่คนก็ยังใจจดใจจ่อ อินไปกับเนื้อเรื่อง
ช่วงนี้เป็นเพลง...น้ำตาแสงใต้
ที่แต่งโดย สง่า อารัมภีร์
ขณะกำลังพากย์ ลุงหรุ่นเจ้าของหนังส่งแผ่นเสียงเพลงประกอบมาให้ ผมรับมา เหลือบดู เพลง น้ำตาแสงใต้ ขับร้องโดย บุญช่วย หิรัญสุนทร
ผมวางเพลง
เสียงหวานปนเศร้าของบุญช่วยดังขึ้น
มาถึงช่วงคำร้อง
"น้ำตา...อาบแก้ม เพียงแซม...เพชรไสว"
พอดีภาพพี่ต้อย สุพรรณ กรีดน้ำตาออกมา
แล้วสะท้อนกับแสงใต้ที่จุดอยู่ข้างฝา...วาววับราวกับแสงเพชร
ภาพนี้...คุณ รัตน์ เปสตันยี ช่างภาพชาวอินเดียถ่ายได้สุดยอด

เจ้าประคุณเอ๋ย
คุณผู้หญิงที่นั่งดูอยู่รอบๆ
ไม่มีใครอายใครกันแล้ว ต่างปาดน้ำตากันแทบทุกคน

เมื่อหนังจบ
คนดูจำนวนไม่น้อยเดินเข้ามาดูหน้านักพากย์
บางคนกล่าวชื่นชม ทำให้ผมกับคุณภานาต้องยกมือไหว้ขอบคุณเป็นฝักถั่ว...

ก็มาถึงคำถามสุดท้าย
ว่าอยากจะฝากอะไรไว้กับเพื่อนๆนักพากย์รุ่นหลังบ้าง
ผมคงไม่มีอะไรจะแนะนำหรอกนะครับ เพราะ "นักพากย์"
มักมีอะไรๆที่ดีแตกต่างกันไป ไม่เหมือนกัน ไม่มีใครน้อยหน้าใคร และที่สำคัญ วิธีการพากย์ของผม มันเป็นแบบโบราณ คือ
พากย์คู่สองคน เหมาทั้งเรื่อง ให้เสียงทุกตัวละคร
ไม่เหมือนการพากย์ปัจจุบันที่พากย์กันเป็นทีม แบ่งตัวละครกันไป ตัวใครตัวมัน และส่วนมากจะไม่ออกนอกบท เพราะกลัวคนอื่นรับมุขไม่ทัน

ถ้าจะมีก็คงเป็นเรื่องเดียว
คือเรื่องของตัวผมเองที่ถือคติว่า
งานทุกอย่างที่ไม่เคยทำ อย่าท้อ อย่ากลัว
แต่จงสู้ และหาทางเอาชนะมันให้ได้ ไม่มีใครเกิดมา
แล้วรู้ทุกอย่าง เป็นทุกอย่าง เราต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง
เรียนน้อย...ไม่สำคัญ
สำคัญที่ต้องอ่านให้มาก
ขุมแห่งความรู้มีอยู่ในหนังสือทุกชนิด
นิยาย, นิทาน, สารคดี, และหรือเรื่องสั้นต่างๆ
เพราะกว่าผู้เขียนจะบรรยายออกมาได้ เขาต้องหาข้อมูล
อย่างชัดเจน
ไม่เหมือนโลกโซเชี่ยลที่กำลังฮิต มีแต่ข่าวไม่ได้กรอง คน
ส่วนมากอ่านแล้วคล้อยตาม หลงโทษ หลงด่าไปตามนั้น พอ
ความจริงปรากฏ ทำให้กลายเป็นไอ้โง่ไปทันที...

ก็...คงมีแค่นี้แหละนะ
สำหรับ ชีวิตนักพากย์ ที่เขียนมาถึง 28 ตอน
รวมเลาแล้วก็ 28 วัน วันละประมาณ 4-5 หน้ากระดาษ
คงจบลงแค่นี้...
แต่...ถ้าใครยังมีอะไรค้างค้าใจ ก็โพสต์มานะครับ
ตอบได้ผมจะตอบให้...ในช่องทางเดิมนี้นะครับ
สวัสดีครับ...
++++++++++++++++++++++++++++
"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
        ครับ แม้ว่า พี่ชาติ จะบอกว่า ได้เล่าชีวิตนักพากย์มาถึงตอนจบแล้ว แต่ก็ยังเปิดช่องให้พวกเราได้ถามต่ออีก ผมว่า ชีวิตพี่ชาติผ่านการพากย์หนังสดๆ มาอย่างโชกโชน หากจะเจาะเล่าออกมาเป็นเรื่องๆ ที่ได้พากย์หนังมา ก็น่าจะดีไม่น้อยนะครับ (เหมือนกับที่พูดถึง พันท้ายนรสิงห์) ผมจะส่งใบปิดหนังไทยเก่าๆ ตามเรื่องที่จะเขียนไปให้ก่อนในกล่องข้อความนะครับพี่

"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..

ออฟไลน์ อานายอิสมายเนม

  • มือใหม่ ปรับชั้นต้องโพสรวม 30 กระทู้
  • *
  • กระทู้: 1
  • พลังใจที่มี 0
สวัสดีครับ ผมแค่อยากบอกว่า ส่วนตัวไม่เคยดูสารคดีที่ไหนที่ดูแล้วได้อารมณ์แบบของพี่ชาติมาก่อนตั้งแต่ 5 อรหันต์ทองคำ , สมเด็จพระนเรศวรมหาราชโลกไม่ลืม , บุญเพ็งหีบเหล็ก , ยัมโบ้ , 2011 สึนามิถล่มญิ่ปุ่น , 2012 วันโลกาวินาศ ทุกเรื่องผมกล้าการันตีเลยว่านอกจากได้ความรู้จากเรื่องแล้วยังได้อารมณ์ความรู้สึกร่วมตามไปด้วย เรียกได้ว่าครบเครื่องเรื่องบรรยายจริงๆครับ เสียดายแผ่นแท้หายากมากแล้ว แต่ผลงานของพี่ชาติจะยังอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไปครับ