ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ 107 ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย วิทูร กรุณา พระเอกลูกพ่อขุน  (อ่าน 1920 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฉัตรชัยฟิล์มshop

  • Thaicine Movie Team
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 11655
  • พลังใจที่มี 441
  • เพศ: ชาย
  • รักการฉายด้วยฟิล์ม

บทที่ 107
ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย
วิทูร กรุณา พระเอกลูกพ่อขุน
โดย มนัส กิ่งจันทร์

(facebook 22 พฤษภาคม 2556)


วิฑูร กรุณา

          สวัสดีครับ วันนี้จะเป็นคิวของพระเอกจากรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่เข้าวงการหนังไทยมาเมื่อปี 2520 นั่นคือ วิฑูรย์ กรุณา..

          วิทูร กรุณา มีชื่อเล่นว่า แอ๊ด เกิดวันที่ 28 พฤศจิกายน 2498 ที่อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ขณะเรียนอยู่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยเป็นนายแบบถ่ายภาพยนตร์โฆษณา “โธ่..รังแครังควานอีกแล้ว” เคยแสดงละครมหาวิทยาลัยรามคำแหงเรื่อง เจ้าหญิงแสนหวี (รุ่นเดียวกับจตุพล ภูอภิรมย์) ซึ่งขณะนั้นมีแมวมองเล็งว่า วิทูร คือหนึ่งในผู้ที่จะก้าวไปเป็นพระเอกในอนาคต วิทูรเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงด้วยการแสดงละครโทรทัศน์โดยการสนับสนุนของ กนกวรรณ ด่านอุดม ในเรื่อง ลูกกรอก ผู้ชนะสิบทิศ และเป็นพระเอกละครโทรทัศน์เต็มตัวในเรื่อง รักในสายหมอก ของรัชฟิล์ม และอีกหลายเรื่องเช่น ไม่มีใครรักฉันจริง เขาชื่อกานต์ สาวแก่ เคหาสน์สีแดง

          ต่อมา ฉลอง ภักดีวิจิตร แห่งบางกอกการภาพยนตร์ จึงชวนวิทูรให้มาแสดงภาพยนตร์ครั้งแรกในเรื่อง รักข้ามโลก คู่กับ เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ซึ่งต้องไปถ่ายทำที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เข้าฉายเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2521 ที่โรงภาพยนตร์โคลีเซี่ยม-ลิโด-ปารีส-พาราเมาท์ จากนั้นชื่อของ วิทูร กรุณา (ขณะนั้นมักจะเขียน “วิฑูรย์ กรุณา”) ก็ปรากฏในฐานะเป็นพระเอกภาพยนตร์เรื่อยมา เช่น

ฟ้าหลังฝน (2521 เนาวรัตน์-อำภา) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่สร้างชื่อเสียงให้ วิทูร-อำภา ภูษิต อย่างมาก ตามด้วยเรื่อง
วัยรัก (2521 พิศมัย-เนาวรัตน์)
สวยแต่ซน (2521 อำภา)
กามเทพหัวเราะ (2521 ลลนา)
ภาษาใจ (2521 แววดี)
ชีวิตนี้..เพื่อเธอ (2522 วาสนา)
หนามยอกอก (2522 ภิญโญ ทองเจือ-อำภา)
สองเรา (2522 นันทนา)
ที่รักของน้องหนู (คนางค์-ภิญโญ)
หัวใจวิปริต (2522 วิยะดา-อำภา)
แผลรัก (2522 นันทนา)
เลือดทมิฬ (2522 เนาวรัตน์)
ช้ำเพราะรัก (2522 มยุรา)
ชั่วฟ้าดินสลาย (2523 ธิติมา)
เดิมพันชีวิต (2523 เปรมา พรหมวงศ์)
ดอกแก้ว (2523 สรพงศ์-สุพรรษา)
ผิดหรือที่จะรัก (2523 สรพงศ์-เนาวรัตน์)
พ่อจ๋า (2523 สรพงศ์-นันทิดา)
นี่หรือความรัก (2524 อำภา)
เชลยศักดิ์ (2524 อาพร-ทูน)
สุดทางรัก (2524 สรพงศ์-เนาวรัตน์)
เพชฌฆาตหน้าเป็น (2525 สรพงศ์-โกวิท-พอเจตน์)
แม่กระชังก้นรั่ว (2526 ทูน-มนฤดี)
ทุ่งปืนแตก (2526 ทูน-นาท-พอเจตน์)
พลอยทะเล (2530 สรพงศ์-ชณุตพร-สินจัย) ฯลฯ


          ช่วงที่ วิทูรแสดงภาพยนตร์อยู่นั้น ก็ยังรับแสดงละครโทรทัศน์อีกด้วย ก่อนที่จะไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมและเป็นนักการเมือง...

          ถ้าถามว่า "อยากดูวิทูรเรื่องเลือดทมิฬ และชีวิตนี้เพื่อเธอ ชั่วฟ้าดินสลาย มาก" ก็บอกได้ว่า "เลือดทมิฬ" ยังพอหาดูไ้ด้นะครับ แต่ ชีวิตนี้เพื่อเธอ กับ ชั่วฟ้าดินสลาย หาไม่ได้แล้วครับ..

          ฟ้าหลังฝน-พะวงรัก-รามคำแหง..ผมก็เคยมีอดีต ตอนนั้นผมเขียนไว้ในหัวข้อ เพลงดังหนังไทย...ยาวหน่อยนะครับ....เพลงดัง หนังไทย... “พะวงรัก” โดย มนัส กิ่งจันทร์

          วันนี้ ขอพูดถึงเพลง “พะวงรัก” เป็นเพลงลูกกรุงอีกเพลงหนึ่งที่โด่งดังมาก ๆ แต่ก่อนจะเข้าถึงหนังและเพลง ก็มารู้จักกับคนร้องเพลงนี้ก่อนนะครับ คนร้องเป็นผู้หญิงชื่อ ศรวณี โพธิเทศ เกิดปี 2486 ชื่อเล่นว่า นิตย์ ชื่อจริงว่า สารนิตย์ โพธิเทศ เกิดที่จังหวัดสุรินทร์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียน ส.ศ. (สุรินทรศึกษา) ตั้งอยู่หลังศาลหลักเมืองสุรินทร์ (เลิกกิจการไปนานแล้ว) จากนั้นก็เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ จนจบโรงเรียนการช่างสตรีพระนครใต้ แต่ความที่ชอบเสียงเพลงจึงไปสมัครเป็นนักร้องอยู่กับวงดนตรีสุนทราภรณ์ ได้อัดแผ่นเสียงเพลงเพลงแรก ๆ คือ นิมิตสวรรค์, เธอเท่านั้น เพลงที่สร้างชื่อในยุคแรก ๆ คือ เธอเท่านั้น...

          จริง ๆ แล้วผมเอง ก็ไม่ค่อยคุ้นกับเพลงที่ศรวณีร้องในยุคแรกเท่าไรเพราะสมัยก่อนสถานีวิทยุกระจายเสียงแถวบ้านผมจะเป็นแบบคลื่น A.M. เขาจะเปิดแต่เพลงลูกทุ่งเสียมากกว่า แต่ที่คุ้นชื่อ ศรวณี โพธิเทศ มาก ๆ ก็เพราะว่า เวลามีงานเลี้ยงสังสรรค์ศิษย์เก่าของโรงเรียน ส.ศ.นั้น ผมมักจะเห็นป้ายปิดแถวหน้าโรงเรียนเขาว่า จะมีนักร้องจากกรุงเทพฯ ที่เป็นศิษย์เก่ามาร้องเพลงให้ฟังด้วย ซึ่งลูกศิษย์คนนั้นก็คือ ศรวณี โพธิเทศ ผมเดินผ่านหน้าโรงเรียนนี้เพื่อไปเรียนอีกโรงเรียนหนึ่งที่ไกลออกไปเป็นกิโล ก็เลยคุ้นกับชื่อนี้ตลอดมา ต่อมาเมื่อเพลง “น้ำตาหรือจะแก้ปัญหาใจ” ที่ศรวณีร้องดัง ตอนนั้นสถานีวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ที่ตั้งอยู่สุรินทร์ เริ่มส่งสัญญาณเป็นแบบคลื่น F.M. สเตริโอแล้ว ก็เลยเริ่มมีการเปิดเพลงนี้ให้ฟังบ่อย ๆ โฆษกก็บอกว่า คนร้องเป็นคนสุรินทร์ด้วย สมัยนั้นเพลงนี้ดังมาก ๆ (เนื้อร้องว่า...อนิจจา..เขามาพรากจากฉันไป ไม่เหลือเยื่อใย เหลือสิ่งใดให้ใครเฝ้าคอย เปรียบฉันดังว่าว เขาสาวสายป่านขาดพร่อย ให้ชีวิตฉันล่องลอย ลอยไปตามกรรม นี่หัวใจเขาคงใกล้จะเป็นยักษ์มาร จึงคิดประหารผลาญชีวัน...)


          เพลงนี้ดังจนชื่อติดปากผู้ฟังจริง ๆ ขนาดตอนที่มีหนังกลางแปลงฉายปิดถนนแถว ๆ วัดกลางสุรินทร์ เป็นบริการเหรียญชัยภาพยนตร์ ซึ่งชื่อดังมากในสุรินทร์ขณะนั้น เจ้าของเขาเป็นนักพากย์ด้วยชื่อ คุณสุเมธ เจนครองธรรม ตอนนั้นขนาดเขาฉายหนังจีนแท้ ๆ แต่มีฉากหนึ่งที่นางเอกของเรื่องกำลังเสียใจและร้องไห้ร้องห่ม พระเอกก็เขาไปปลอบนางเอก นักพากย์คนนี้ใช้ชื่อพากย์ว่า “นายเทวดา” ก็หยอดมุกใส่หนังทันทีว่า... “ที่รัก หยุดร้องไห้เสียเถอะ...น้ำตาหรือจะแก้ปัญหาใจ” เล่นเอาคนดูโห่ฮาเป่าปากกันใหญ่...

          แล้วต่อมา ผมก็ได้ยินเพลง “น้ำตาหรือจะแก้ปัญหาใจ” จากหนังเรื่องหนึ่ง แต่ว่า เป็นการใส่เพลงเข้าไปอย่างแผ่วเบาเหมือนไม่จงใจใช้ เป็นฉากที่มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช จัดโต๊ะกับข้าวรอสามีคือ สมบัติ เมทะนี กลับมา แต่รอแล้วรอเล่าจนเลยเที่ยงคืนไปแล้ว สามีก็ยังไม่กลับมาอีกเพราะมัวไปอยู่กับ นัยนา ชีวานันท์..เสียงเพลงจากวิทยุที่เปิดไว้ ก็ปล่อยเพลงนี้ออกมาขยี้.. มยุรฉัตรซึ่งนั่งฟัง ก็ถึงกับน้ำตาซึมอาบแก้มเลย....เพลงนี้ถูกใส่อยู่ในหนังเรื่อง มนต์เรียกผัว ที่นำแสดงโดย สมบัติ-นัยนา ออกฉายเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2519 ที่โรงหนังเฉลิมไทยและสามย่าน ครับ....

          ส่วนเพลงที่ผมจั่วหัวไว้คือ พะวงรัก (เนื้อร้องว่า...เฝ้าพะวงห่วงคิดถึงเธอ ใจคะใคร่เจอเห็นเธอใกล้เคียง อยากแบ่งกายให้เป็นหลายเสี่ยง เพื่อได้เคียงติดตามใกล้เธอ คอยกังวลมิเป็นสุข มีรักเหมือนมีทุกข์ล้นเอ่อ กระวนกระวายหายใจเป็นเธอ อยากได้เจอแม้เงา...) นั้น ผมเองก็ได้ยินครั้งแรกเมื่อประมาณปี 2521 จากหนังเหมือนกันครับ มาจากหนังเรื่อง ฟ้าหลังฝน ที่สร้างโดยจิรบันเทิงฟิล์ม มี พิศาล อัครเศรณี เป็นผู้กำกับการแสดง หนังเรื่องนี้ตั้งใจใช้เพลง “พะวงรัก” เป็นเพลงเอกของเรื่องเลยครับ

          เปิดฉากไตเติ้ลที่ถ่ายบรรยายตั้งแต่หน้าประตูรั้วเข้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง หนังก็ปล่อยเพลงมาแล้ว แถมในช่วงที่เป็นเพลงบรรเลงของหนัง ก็ยังใช้เพลงนี้ใส่เข้าไปอีก เรียกว่า ใครดูหนังเรื่องนี้แล้ว จะต้องชอบเพลงนี้ไปโดยปริยาย... ทั้งเพลงน้ำตาหรือจะแก้ปัญหาใจและพะวงรัก นี้ ผมว่า ศรวณี ร้องได้ดีและกินใจมาก ๆ แถมดนตรีก็ยังฟังแล้วระรื่นหูอีก นี่ไม่ใช่เชียร์คนบ้านเดียวกันนะครับ


          พอผมได้ยินเพลงจากหนังครั้งแรกก็รู้สึกชอบ แถมเนื้อหาของหนังก็ยังประทับใจอีก ก็เลยทำให้เพลงนี้ติดอยู่ในใจผมมาจนถึงทุกวันนี้.. หนังเรื่องฟ้าหลังฝน เป็นหนังชีวิตรักเศร้า ๆ ดูแล้วได้คติสอนใจให้รู้ว่า “รักแท้ ต้องเสียสละ” เป็นหนังเรื่องแรกที่ อำภา ภูษิต เปิดตัวเป็นนางเอกคนใหม่ โดยมี วิฑูรย์ กรุณา และ เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ยืนเป็นพระเอก-นางเอกหลัก แต่เมื่อดูหนังจนจบ ผู้คนจะเทคะแนนความสงสารให้กับ อำภา ภูษิต มากกว่า แม้ว่าอำภาจะมีบทในหลังเพียงแค่ชั่วโมงแรกเท่านั้น หนังเรื่องนี้เรียกได้ว่า เป็นหนังแจ้งเกิดให้กับอำภา ส่วนอำภาเองก็เคยบอกว่า ไม่นึกว่า หนังจะออกมาได้เศร้าขนาดนี้ ก็ต้องยกฝีมือให้กับคนเขียนบทและผู้กำกับหน้าใหม่ (ตอนนั้น) อย่างพิศาล อัครเศรณี

          ในเรื่อง ฟ้าหลังฝน นี้ อำภาจะแสดงเป็นภรรยาของวิฑูรย์มาตั้งแต่แรก โดยทั้งคู่เช่าบ้านอยู่ในสลัมแห่งหนึ่ง วิฑูรย์ก็เรียนรามคำแหง โดยมีอำภาเป็นคนช่วยส่งเรียน พอวิฑูรย์ไปเรียนราม ก็มีลูกสาวคนมีอันจะกินคือ เนาวรัตน์ มาติดพันโดยไม่รู้ว่า วิฑูรย์มีอำภาอยู่ก่อนแล้ว ต่อมาอำภาไปแอบเห็นพฤติกรรมของวิฑูรย์เวลาอยู่กับเนาวรัตน์ ดูจะมีความสุขเหลือเกินต่างกับเวลาอยู่ด้วยกันที่บ้านเช่าในสลัม..

          แล้ววันที่วิฑูรย์รับปริญญา อำภาก็เห็นวิฑูรย์เต้นรำสโลว์ซบกับเนาวรัตน์ ดูเขาทั้งสองช่างเหมาะสมกันจริง ๆ อำภาจึงตัดสินใจหลีกทางหนีไปจากวิฑูรย์ ไปทั้ง ๆ ที่วันนั้นเธอเองจะบอกวิฑูรย์ว่า เธอกำลังตั้งท้อง...อำภาหอบท้องไปรับจ้างเป็นคนงานก่อสร้างจนคลอดลูกเป็นเด็กชายชื่อ โอปอ แต่ก็ยังบอกลูกว่า ถ้าพบพ่อ อย่าไปรบกวนพ่อ พ่อเขามีความสุขแล้ว ฝ่ายวิฑูรย์เมื่ออำภาหายตัวไป ก็รออยู่หลายปี จึงตัดสินใจแต่งงานกับเนาวรัตน์แบบตกถังข้าวสารเลยครับ.....


          เนื้อหาหนังยังมีอีกยาวครับ..แต่ว่าเรามาถึงฉากที่มีเพลงพะวงรักดีกว่า...ฉากนั้นเป็นฉากที่วิฑูรย์ซึ่งเริ่มมีปากเสียงกับเนาวรัตน์เพราะรู้ความหลังว่า วิฑูรย์มีลูกมีเมียแล้ว โดยวิฑูรย์บอกว่า จะขอเอาลูกที่เกิดจากอำภามาเลี้ยงดู แต่เนาวรัตน์ไม่ยอม...โดยขณะนั้นวิฑูรย์ยังไม่รู้เลยว่า เด็กชายโอปอที่ติดตามรับใช้ตนเองก็คือ ลูกชาย...วิฑูรย์เข้าไปนั่งกินเบียร์ในสวนอาหารแห่งหนึ่ง ตาเหม่อลอยเหมือนคนกำลังใช้ความคิดหนัก..ข้างนี้ก็เมีย ข้างนั้นก็ลูกในไส้ แล้ววิฑูรย์จะทำอย่างไรดี...นักร้องในสวนอาหารก็ขึ้นมาร้องเพลงพะวงรัก ก็ยิ่งกดดันคนดูเข้าไปใหญ่...เรียกว่าใครใจอ่อนก็มีสิทธิน้ำตาซึมได้เหมือนกัน...

          ช่วงนี้เองที่วิฑูรย์ถอดแว่นตาออกเพื่อเช็ดหน้าเช็ดตา ทำให้เด็กชายโอปอได้เห็นหน้าเจ้าหน้าตัวเองเต็มตา..โอปอถึงกับอุทานออกมาเบา ๆ ว่า พ่อ.....แล้วก็วิ่งกลับบ้านไปเอารูปที่แม่เคยให้ไว้มาดูใหม่อีก...พ่อจริง ๆ ด้วย...แม้เด็กโอปอจะดีใจที่ได้พบพ่อบังเกิดเกล้าที่อยากเจอมาทั้งชีวิต แต่ก็เพราะเชื่อคำแม่ที่พร่ำสอนว่า อย่าทำให้พ่อเขาเดือดร้อนนะลูก เขาสบายแล้ว... โอปอจึงคิดหนัก..ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร...หนังยังมีต่อครับ...แต่ต้องไปตามดูเอง...เพลงพะวงรักยังไม่หมดแค่นี้เพราะยังถูกใส่เข้าไปอีกครั้งหนึ่งตอนหนังกำลังจะจบด้วย.. ฟ้าหลังฝน ฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2521 ที่โรงหนังโคลีเซี่ยม...ครับ


          ยังมีอีกครับที่ผมเคยเขียนถึง ฟ้าหลังฝน..ตอนนั้นเขียนไว้ในเว็บไทยฟิล์ม..เขียนอย่างนี้ครับ.... วันนี้ มาจากหนังเรื่อง ฟ้าหลังฝน นำแสดงโดย วิฑูรย์-เนาวรัตน์-อำภา-ดช.อภิรัฐ-เปียทิพย์-วุฒิ-จีรศักดิ์-จำรูญ-ล้อต๊อกสร้างโดย จิรบันเทิงฟิล์ม ของ จิรวรรณ กัมปนาทแสนยากร กำกับการแสดงโดย พิศาล อัครเศรณี ฉายรอบมิดไนท์ วันที่ 10 พฤษภาคม 2521 ที่โรงหนัง โคลีเซี่ยม-เฉลิมไทย-ไดเรคเตอร์ และฉายจริงครั้งแรก วันที่ 12 พฤษภาคม 2521 ที่โรงหนัง โคลีเซี่ยม ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากผมจะอาศัยเวลาว่างวันเสาร์-อาทิตย์หรือช่วงปิดเทอมออกไปฉายหนังกลางแปลงแล้วในตอนกลางคืน

          ในจังหวัดบ้านผม ชอบมีหนังกลางแปลงฉายให้ดูฟรี ๆ อยู่เสมอแม้ตอนนั้น โรงหนังประจำจังหวัดจะมีถึง 4 โรงก็ตาม แต่หนังกลางแปลงก็ยังเป็นนิยมของชาวบ้าน ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นงานบุญ งานพิธีต่าง ๆ เจ้าของงานหรือที่เรียกว่าเจ้าภาพ จึงมักจะว่าจ้างหนังกลางแปลง ไปฉายในเพื่อนบ้านละแวกข้างเคียงได้ดูอยู่เสมอเรียกได้ว่า ตั้งแต่จำความได้ ผมเองก็ไม่เคยอดดูหนังกลางแปลงเลย....

          หนังกลางแปลงจึงผูกพันกับผมมาแต่เด็ก ๆ จนกระทั่งมาอยู่กรุงเทพฯ การดูหนังกลางแปลง อันดับแรก จะเน้นไปที่ชื่อบริการหนังกลางแปลงเสียก่อนว่าเป็นบริการดังหรือไม่ ถ้าดังมาก ๆ เขาก็จะคิดค่าว่าจ้างแพงหน่อย ถ้าเป็นแค่พื้น ๆก็จะคิดราคาเป็นกันเอง ลองเทียบราคาดูก็ได้ครับ ถ้าเป็นหนังกลางแปลงระดับพื้น ๆที่เจ้าภาพมีสิทธิเลือกชื่อหนังได้เองเพียง 1-2 เรื่องจากที่จ้างไปฉาย 5 เรื่องโต้รุ่ง


          ช่วงประมาณปีที่หนังเรื่อง ฟ้าหลังฝน ฉายคือ ช่วงปี 21-22 นั้น ค่าจ้างจะอยู่ที่ราคา 2,500-3,500 บาท ก็ฉายได้ทั้งคืนแล้ว ขณะที่ถ้าเป็นบริการดัง ๆ และเจ้าภาพได้เลือกชื่อหนังเองทั้งหมดแล้วก็จะอยู่ที่ราคา 8,000-15,000 บาท เหตุที่แตกต่างกัน ก็แล้วแต่ชื่อเสียงของหนังกลางแปลงเจ้านั้นและชื่อหนังที่เลือกไปฉายด้วยว่า เป็นหนังดังหรือไม่ ถ้าดังมาก ๆ ก็จะแพงมากขึ้นตามลำดับ พอตกเย็น ๆ หลังเลิกเรียนแล้ว ผมมักจะปั่นจักรยานสองล้อไปรอบ ๆ ตัวเมืองก่อนจะกลับเข้าบ้านทำแบบนี้ทุก ๆ วัน พวกเราจะเรียกพฤติกรรมนี้ว่าเป็นการไป สืบหนัง ครับ

          ซึ่งหมายถึงว่า ออกตระเวนหาดูว่า คืนนั้นจะมีหนังกลางแปลงฉายที่ไหนกันบ้าง สังเกตได้ไม่ยากเพราะเวลาจะมีหนังกลางแปลง จะต้องมีงานบุญ งานพิธีต่าง ๆ ตามบ้านคนหรือตามวัดวาอารามต่าง ๆ เวลาปั่นจักรยานไป หูก็ต้องคอยฟังเสียงเพลงลำโพง จากเครื่องขยายเสียงที่หนังกลางแปลงชอบเปิดเพลงให้ฟังกันดัง ๆ สมัยก่อนเขาใช้เครื่องเสียงแบบชนิดหลอด แค่เครื่องเสียงกำลัง 500 วัตต์ ก็ดังลั่นสนั่นเมืองแล้วครับ พอรู้ว่า ที่ไหนมีหนังกลางแปลง พวกเราก็จะไปดูกัน ถ้าไกลหน่อย ก็จะปั่นจักรยานไป ถ้าไกลหน่อย ก็เดินไปกัน.. แต่ผมนิยมเดินไปเพราะจะได้เข้าไปดูใกล้ ๆ เครื่องฉายหนัง จะได้แอบสำรวจ แอบดูว่า บริการหนังนี้เขาก้าวหน้าไปถึงไหนกันบ้าง...



          หนังที่ผมจะเล่าในวันนี้ ก็เป็นความประทับใจหนึ่งที่ได้ไปดูหนังกลางแปลง กะดูวันฉายครั้งแรกคร่าว ๆ แล้ว คิดว่า ผมต้องได้ดูหนังหลังจากวันฉายจริงเกือบปีแน่ ๆ เพราะเป็นหนังกลางแปลง ต้องรอให้ออกจากโรงในจังหวัดก่อน คิดว่า ตอนนั้นอายุน่าจะราว ๆ 16 -17 ปีแล้วมั้ง...ความที่สมัยนั้น ผมเป็นคนดูหนังไม่เลือกอยู่แล้ว แรก ๆ ชื่อ ฟ้าหลังฝน ก็อ่านและฟังไปงั้น ๆ แหละครับ...

          ไม่ค่อยได้สนใจเท่าไร แต่เมื่อมาฉายให้ดูกันฟรี ๆ ก็เลยดูไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกผมขณะนั้น เมื่อดูหนังจบ ยอมรับว่า ดีใจมาก ๆ ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้และรู้สึกว่าชอบมาก ๆ ด้วย ผมเป็นคนที่ชอบดูหนัง แล้วชอบคิดตามหนังว่า ถ้าเราเป็นผู้แสดง เราจะตัดสินใจอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง....คำว่า หนังสอนคน ไม่ผิดเลยครับ คนต่างจังหวัดอย่างผม หนังมีอิทธิพลอย่างมากเพราะเป็นแหล่งเรียนรู้ทุกอย่าง ที่ดูแล้วไม่เคยรู้สึกเบื่อหน่ายเหมือนอ่านตำราเรียน....แม้หนังจบแล้ว ยามใดว่าง ๆ ผมก็มักจะเก็บเอาเรื่องจากหนังมาคิดอยู่เสมอ ชอบคิดว่า ทำไมคนนั้นต้องทำอย่างนั้น ทำไมเขาไม่ทำอย่างนี้บ้าง


          วันเวลาผ่านไปจนผมเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ ผมก็ได้มีโอกาสเจอกับ ฟ้าหลังฝน อีกครั้ง แต่ไม่ใช่เจอหนังนะครับ.. แต่เจอสถานที่ที่เขาถ่ายหนังเรื่อง ฟ้าหลังฝน คือที่ ม.รามคำแหง...ผมเดินสำรวจเส้นทางที่หนังเรื่องนี้ถ่ายทำ พร้อม ๆ กับคิดว่า นี่ไง สิ่งที่เราเคยเห็นในหนัง...ตอนนี้เราได้มาเห็นสถานที่จริง ๆ แล้ว มันรู้สึกดีใจแปลก ๆ อย่างงั้นก็ไม่รู้น่ะ...แต่ก่อนที่ผมจะได้เจอกับสถานที่ถ่ายหนังนั้น ผมก็ฟังเพลง พะวงรัก ซึ่งเป็นเพลงเอกของหนังเรื่องนี้มาตลอด ได้ยินเพลงนี้ทีไร ภาพเหตุการณ์จากหนัง ก็มักจะผุดขึ้นมาให้เห็นทันที เพลงมีส่วนช่วยทำให้เราคิดถึงหนังเรื่องนี้ อยากดูหนังเรื่องนี้อีก...แต่ตอนนั้นก็หาหนังไม่ได้สักที...


          ม.รามคำแหง สำหรับผมแล้ว เป็นอะไรที่ไม่เคยคิดมาก่อนว่า จะได้เข้าไปเห็น เข้าไปเรียนกับเขา เพราะคนบ้านผม ลือกันว่า เข้าง่าย ออกยาก ผมเองก็กลัว ไม่กล้าพูดกับใคร ๆ ว่า ถ้าจบ ม.ศ.5 แล้วเอ็นไม่ติด จะไปเรียนที่ไหนต่อ.. แต่ไม่รู้อะไร ทำให้พี่เขยผมบอกว่า ให้ผมไปเรียนรามแล้วจะให้อยู่บ้านฟรี กินฟรี แต่ต้องช่วยงานบ้าน และบอกพ่อแม่ผมให้ส่งเงินมาเดือนละ 500 บาทเท่านั้น ถ้า 4 ปีเรียนไม่จบ ก็จะเริ่มเก็บเงินค่าใช้จ่ายนะผมจึงได้เรียนรามโดยบังเอิญแท้ ๆ ขณะที่เพื่อน ๆ ผมที่จบ ม.ศ.5 แล้วนัดว่าจะมาเรียนราม ก็มีอัน มาไม่ได้กันหลายคน..แรก ๆ ก็เหมือนอยู่ตัวคนเดียวเพราะเพื่อน ๆ ที่สนิทกัน มาไม่ได้สักคน แต่ก็ดีที่ได้เพื่อนใหม่ ๆแม้จะต่างโรงเรียนกันก็ตาม แต่ก็เป็นคนจังหวัดเดียวกัน...ยามเหงาจากการเรียน เสียงเพลงและหนังเท่านั้นที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น


          ผมมีโอกาสเจอหนังเรื่อง ฟ้าหลังฝน อีกครั้งจริง ๆ ก็ตอนที่เรียนจบรามแล้ว และได้ดูทางไอบีซีเคเบิ้ลทีวี พอเห็นตารางวันฉาย ผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอดู....ดูอย่างเดียวกลัวไม่อิ่ม เลยต้องอัดเทปไว้ดูซ้ำอีก..การดู ฟ้าหลังฝน ครั้งแรกที่เป็นหนักลางแปลง กับการได้ดูอีกครั้งทางไอบีซี บอกตรงว่า ความรู้สึกผมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เคยรู้สึกดี ๆ หรือชอบอย่างไร ก็ยังคงเป็นอย่างงั้น ดาราที่ผมอยากพูดถึงมากที่สุดในเรื่องนี้ก็คือ อำภา ภูษิต เพราะเธอช่างเล่นได้น่าสงสารจริง ๆ ไม่รู้ว่าชีวิตจริง จะมีใครเป็นอย่างเธอบ้าง ในเรื่องเธอชื่อ นี.. เธอกับวิฑูรย์ กรุณา พระเอกของเรื่องใช้ชีวิตร่วมกันในบ้านเช่าในดงสลัม...เธอก็ทำงาน ส่วนวิฑูรย์ ในเรื่องชื่อ การันต์ ก็เรียนราม ในหนังบอกว่า เป็นคณะเศรษฐศาสตร์ ดูแล้วเหมือนกับว่า เธอเป็นฝ่ายส่งให้วิฑูรย์เรียน ...วิฑูรย์เอง ก็สัญญาว่า ถ้าเรียนจบจะย้ายไปจากสลัม จะไม่ให้เธอลำบาก ชีวิตจะมีความสุขกว่านี้..

          แต่ขณะที่อีกภาพหนึ่งของวิฑูรย์ยามที่อยู่มหาวิทยาลัย เขาจะเป็นคนโสดสำหรับเพื่อน ๆ ในกลุ่มนี้ก็มี เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ลูกสาวเศรษฐีมาติดพัน รู้กันในหมู่เพื่อนฝูงว่า เธอเป็นแฟนของวิฑูรย์หมายมั่นกันขนาดว่า เรียนจบจะแต่งงานกัน ... โดยที่อำภา ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน...พอวิฑูรย์ใกล้เรียนจบ อำภาก็เริ่มตั้งท้อง และรู้จากพี่หวาน (เปียทิพย์) ซึ่งเป็นโสเภณีว่า มีเนาวรัตน์มาติดพันวิฑูรย์ เธอจึงได้ตามไปแอบดู จนเห็นว่า เป็นจริง.... ลองคิดว่า ถ้าเป็นชีวิตจริงสมัยนี้ ถ้าเมียรู้ว่า ผัวไปติดพันหญิงอื่นจะเป็นอย่างไร จะตบตีกันเหมือนอย่างที่หนังสือพิมพ์ลงกันหรือเปล่า...

          แต่สำหรับอำภาแล้ว บทที่ส่งให้เธอมา เธอต้องทำหน้าที่ คนรักที่เสียสละ...เสียสละให้คนที่เธอรัก ไปมีความสุขกับหญิงอื่น เพียงเพราะหญิงอื่นนั้นรวยกว่าผัวเธอจะได้สุขสบาย...ภาพที่เธอแอบไปเห็นผัวอยู่กับหญิงอื่นแล้ว มีความสุขเพียบพร้อม  ทำให้เธอตัดสินใจอุ้มท้องหนีไปอยู่ที่อื่น เรียกว่า ทำตัวหายไปเลยเธอไปเป็นกรรมกรก่อสร้าง...แต่ใช่ว่า หนังจะโหดร้าย วิฑูรย์ตามหาเธอและรอเธออยู่เกือบ 2 ปี จึงตัดสินใจแต่งงานกับเนาวรัตน์....แต่หนังก็สอนให้เรารู้ว่า อะไรที่เคยมี เคยผูกพัน มักจะลืมกันไม่ลง...ยิ่งรู้ว่า อำภาหนีไปทั้ง ๆ ที่ตั้งท้องด้วย ยิ่งทำให้วิฑูรย์คิดหนัก...คิดถึงเมีย คิดถึงลูกอำภาหนีไปถึง 7 ปี จึงได้พบกับพี่หวานอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเป็นการสั่งลาเพราะเธอต้องมาสิ้นใจตายก่อนตายเธอได้ฝากลูกชายคือ โอปอ ไว้กับพี่หวาน พร้อมกับมอบรูปถ่ายของวิฑูรย์ผู้เป็นพ่อโอปอให้ด้วย แต่กำชับว่า ถ้าเจอพ่อ อย่าไปทำให้พ่อเดือดร้อน...

          แต่โลกมันก็กลมจริง ๆ จับพลัดจับพลู่ โอปอ กลายเป็นเด็กรับใช้ของพ่อตัวเองพ่อน่ะยังไม่รู้ว่าเป็นลูก แต่ลูกนั้นรู้แล้ว แต่รักแม่ เชื่อคำแม่ จึงไม่กล้าบอกพ่อ ยิ่งมารู้ว่า พ่อถูกเนาวรัตน์ยืนคำขาดว่า จะเลือกใครระหว่างเธอ กับ ลูกด้วยแล้วทำให้โอปอรู้ว่า ตัวเองเป็นต้นเหตุให้พ่อต้องเดือดร้อน จึงหนีจากบ้านไปร้องไห้ฟูมฟายต่อที่เก็บศพแม่....และแล้ววิฑูรย์ก็เลือกที่จะหิ้วกระเป๋าใบเดียวออกจากบ้านเนาวรัตน์ไปเพื่อไปอยู่กับโอปอ ลูกรัก......


          ที่เล่ามายาวเหยียด ไม่ใช่อะไรเผื่อว่า ใครที่ยังไม่เคยดู จะได้รู้เรื่องก่อนบ้าง แต่ถ้าอยากให้ได้อารมณ์ชัด ๆ ก็ต้องไปหาหนังมาดูนะครับ...ผมว่า หนังเรื่องนี้มันสอนเรานะครับ....สอนให้เราเป็นคนดี คนเสียสละอาจจะเสียสละจนเกินไป.. แต่ลองคิดเล่น ๆ ว่า ถ้าเราเป็นตัวอำภา เจอกับสภาพนี้แล้ว จะทำอย่างไร โลกยุติธรรมแล้วหรือ ..ทำไมรักแท้ต้องเสียสละตลอดไปหรือ.....

          ใครที่เคยผ่านจุด ๆ นี้ไปแล้ว คงจะได้คำตอบว่า อำภาเธอไม่ได้คิดผิด...ผมว่า เหตุผลหลัก ๆ ที่เธอจำใจไปจากวิฑูรย์ก็เพราะว่า เธอรักเขามากเกินไป…ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน วิฑูรย์จะพูดย้ำเสมอว่า เขาไม่ต้องการชีวิตในสลัมแบบนี้ประกอบกับเธอไม่สามารถส่งเสริมให้วิฑูรย์ไปถึงจุดนั้นได้ง่าย ๆ เมื่อได้เห็นเนาวรัตน์งามพร้อมทั้งรูปและสมบัติ เธอจึงต้องทำตัวเสียสละให้คนที่รักไปมีความสุขที่เธอคิดว่า จะมีความสุขยิ่งกว่าอยู่กับเธอ....

          ภาพที่ผมเห็นจากหนัง อำภาจะเป็นคนสวยที่เศร้า ๆ ดูแล้ว น่าสงสารมากครับ...น่าสงสารจนไม่รู้ว่า วิฑูรย์จะตัดสินใจอย่างไร ถ้าหากสาวสองคนมาเผชิญหน้ากันวิฑูรย์คงจะลำบากใจแน่ ๆ ระหว่างเมียที่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก กับหญิงสาวที่มาใหม่ มาอย่างคนฟุ้งเฟ้อ แม้หนังจะไม่ได้ให้เผชิญหน้ากันตรง ๆ แต่ความกระอักกระอวลใจของวิฑูรย์ ก็ทำให้เราเห็นชัด ๆ เมื่อวิฑูรย์บอกเนาวรัตน์ว่า จะขอนำลูกโอปอ มาอยู่ที่บ้านด้วย....

          เนาวรัตน์นอกจากจะปฏิเสธแล้ว แต่ยังพูดจาก้าวร้าว ผู้เป็นสามีและขู่แกมบังคับให้เลือกว่า ถ้าเอาลูก ก็ต้องไม่มีเธอ.....ทำเหมือนกับให้รู้ว่า ถ้าเลือกเธอ วิฑูรย์ก็จะยังมีทรัพย์สมบัติทุกอย่างแต่ถ้าเลือกลูกแล้ว ก็ต้องออกจากบ้านไป...ตอนผมดูครั้งแรก ผมก็เลือกแทนวิฑูรย์ไปทันที ...ผมเลือกที่จะเอาลูกไว้ก่อน...ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ มิใช่อยู่ที่เงินทอง แต่อยู่ที่คุณค่าที่ทุกคนควรจะมีอยู่ในใจ...หนังเรื่องนี้เองที่สอนให้คนจน ๆ อย่างผม ได้รู้จักเจียมเนื้อ เจียมตัว ไม่เคยอาจเอื้อมไปมองผู้หญิงที่รวยกว่า ยิ่งถ้าต้องแต่งงานแล้ว ต้องไปอยู่บ้านฝ่ายหญิงด้วยผมนี่ กลัว กลัวมาตั้งแต่รุ่น ๆ เลยครับ.... กลัวว่า สักวันหนึ่งตัวเองจะต้องเหมือนวิฑูรย์ในเรื่องนี้......จบแล้วครับ



คลิ๊กดูหนังต้อนรับ วิฑูร กรุณา

 

<iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/HecQ3nf44BQ?fs=1&start=" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28 กุมภาพันธ์ 2014, 11:13:40 โดย นายเค »


ฉัตรชัย สุวรรณโสภา 
88/1 ม.4 ต.บางโตนด อ.โพธาราม จ.ราชบุรี 70120   
E-mail chatchai_suw@hotmail.com    โทร 081-7636195 
ต่อพงศ์ภาพยนต์ ระบบ 35 ม.ม.  ฉัตรชัยภาพยนตร์ กลางแปลงย้อนยุค 16 ม.ม.
ธ.ไทยพาณิชย์  สาขาบิ๊กซีราชบุรี ชื่อบัญชี ฉัตรชัย สุวรรณโสภา  หมายเลขบัญชี  940-202235-1