ผู้เขียน หัวข้อ: กิจกรรม.. NIGHT@MAYA CITY ครั้งที่ 4.. กุมภา ราตรี มีรัก  (อ่าน 61 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2809
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
    ภาพกิจกรรม.. เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 หอภาพยนตร์ฯ ศาลายา มีงาน NIGHT@MAYA CITY ครั้งที่ 4..  กุมภา ราตรี มีรัก ชมเมืองมายายามค่ำ..

    ผมเห็นโพสต์ข่าวงานนี้เมื่อค่ำวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2567 จากน้องดา หอภาพยนตร์ฯ พอเช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ผมก็โทรหาน้องวิว เจ้าหน้าที่หอภาพยนตร์ฯ ขอให้ช่วยประสานงาน ให้ผมนำหนังจอเล็กๆ จอ 2 เมตร ไปร่วมฉาย ร่วมแจมในงานนี้หน่อย.. จริงๆ ใจลึกๆ ก็นึกอยากจะกลับไปเยี่ยมหอภาพยนตร์ด้วยเพราะเกษียณเข้ามาปีที่ 2 แล้ว.. สักพักน้องวิวก็โทรกลับมาบอกว่า มาได้เลยครับพี่.. ตอนนี้ เขากำลังหาที่เหมาะๆ ให้ตั้งจอหนังครับ 

    งานนี้ เขาเริ่ม 5 โมงเย็น ผมก็นั่งรถแท็กซี่ไปถึงหอภาพยนตร์ ประมาณบ่ายโมงครึ่ง.. ก็อยากจะไปถึงเร็วๆ ครับ จะได้พบปะกับเพื่อนๆ น้องๆ ที่หอภาพยนตร์ฯ ด้วย.. แล้วก็โชคดีมากๆ ครับ ที่มีโอกาสได้พบกับแฟนๆ พี่ๆ สมัยก่อนที่เคยมาร่วมกิจกรรมดูหนังกับผมที่หอภาพยนตร์ฯ ด้วย ก็เรียกว่า ได้ทักทาย ได้พูดคุยกันหลายๆ คน สนุกดีครับ

    ประมาณ 4 โมงเย็น ผมก็เริ่มตั้งจอหนัง.. ก็มีน้องๆ เพื่อนๆ ที่ทำงานหอภาพยนตร์ฯ เริ่มเข้ามาทักทาย พูดคุยและก็มาถ่ายรูปหน้าจอหนัง จอเล็ก.. ผมก็บอกว่า ถ่ายแล้ว ส่งรูปให้ด้วยนะ จะเอาไปโพสต์.. ก็เห็นถ่ายกันหลายคน แต่บางคนคงไม่อยากออกสื่อ ก็เลยไม่ส่งรูปมา..

    พอตั้งจอหนังเสร็จ พี่น็อต หัวหน้าเก่าผม ก็ถามว่า จะให้ตั้งเก้าอี้สำหรับนั่งดูหนังเลยไหม.. ผมก็บอกว่า ไม่ต้องหรอกครับ อยากจะให้คนที่เดินๆ ผ่านมุมนี้ ได้เห็นจอหนังและมีที่ว่างๆ ไว้ เผื่อเขาจะถ่ายรูปกันหน้าจอ เพราะตามปกติแล้ว การไปฉายหนังงานในลักษณะนี้ ผู้คนมักจะไม่นั่งปักหลักดูหนังกันอย่างจริงๆ จังๆ สักเท่าไหร่ ให้เขาแค่เห็น แค่ถ่ายรูปไว้ก็พอ แต่ก็มีบางท่านพอเดินๆ เมื่อยๆ ก็ขึ้นมานั่งพักใกล้ๆ จอหนังและก็ถือโอกาสดูหนังไปด้วยก็มี

    เวลาผมไปฉายหนังมิตร ชัยบัญชา ความสุขที่ได้จะอยู่ที่การเห็นผู้คนเดินผ่านมาทางจอหนัง.. ดูๆ.. ยิ้มๆ.. แล้วก็ถ่ายรูป.. บางครั้งพอเห็นเขาดูหนัง แล้วก็พูดคุยกันเอง.. ผมก็จะเข้าไปอธิบายเรื่องหนังให้ฟัง.. พอเขารู้ว่า เป็นหนังเก่าๆ ตั้งแต่ปี 2508 เขาก็ตื่นเต้น ไม่นึกว่า จะได้เห็นภาพแบบนี้อีก.. บางคนก็สอบถามถึงที่มาของการหาฟิล์ม.. การพากย์หนังของพวกเราด้วย..

    เมื่อคืนนี้ คุยๆ อยู่กับชาย-หญิงคู่หนึ่ง คุยไป คุยมา เขาก็บอกว่า เขาเป็นลูกหลานของนักพากย์ชื่อดัง "ขุนแผน" หรือ ดุ่ย ณ บางน้อย.. เขาบอกว่า ตอนนี้ ยังมีเครื่องบันทึกเสียงของคุณดุ่ย สมัยที่ทำห้องอัดเสียงคิงส์ซาวด์อยู่ จะนำมามอบให้หอภาพยนตร์ฯ ให้โอกาสต่อไปครับ

    คืนนั้น การได้กลับไปทำกิจกรรมเล็กๆ ที่หอภาพยนตร์ฯ อีกครั้ง ก็เหมือนๆ กับการกลับไปฟื้นความหลังของผมที่เคยทำงานที่นี่มาก่อนด้วย

    "มนัส มาฉายหนังใช่ไหม.. ตั้งจอตรงไหน" นั่น เป็นประโยคแรกๆ ที่พี่โดม เจ้านายเก่า ทักทายผม ขณะที่ผมกำลังเดินผ่านหน้าโรงหนังศรีศาลายา เห็นพี่โดมเปิดประตูโรงหนังออกมาพอดี ก็เลยได้คุยกัน

    "ครับ พี่.. เห็นเขาบอกว่า กำลังหาที่เหมาะๆ ให้ครับ" ผมตอบพี่โดมและพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนจะมีท่านอื่นๆ เขามาทักทาย

    นึกถึงสมัยก่อน สมัยที่หอภาพยนตร์ฯ ยังไม่มีสถานะเป็นองค์การมหาชน งบประมาณก็ไม่ค่อยจะมี เวลาเราไปฉายหนังที่ไหนๆ ก็จะลำบาก หนังจอใหญ่ๆ เราก็ไม่มี.. พี่โดม ก็เลยคิดทำจอหนังเล็กๆ จอใหญ่กว่าทีวี 14 นิ้วนิดหน่อย เวลาคนเดินมาเห็น ก็จะยิ้มๆ พี่โดม ก็จะปล่อยมุขว่า นี่เป็น หนังจอผ้าเช็ดหน้า.. ครับ.. แต่จอหนังผม ใหญ่ขึ้นมาอีกนิดหน่อย.. พอน้องๆ ที่หอภาพยนตร์ ถามผม ผมก็ตอบไปแบบขำๆ ว่า พี่โดม เขาเป็น จอผ้าเช็ดหน้า.. ของผมใหญ่ขึ้นมาหน่อย ก็เป็น จอผ้าห่ม ก็แล้วกัน...


"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..