ผู้เขียน หัวข้อ: การฉายหนัง 16 มม. ก่อนปี พ.ศ.2500 ของนายจำริต วัฒนไกร  (อ่าน 262 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ มนัส กิ่งจันทร์

  • มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 2814
  • พลังใจที่มี 35
  • เพศ: ชาย
    • มนัส ชุมทางหนังไทยในอดีต
        ดูภาพนี้แล้ว คิดถึงสมัยตอนเป็นเด็กๆ ก็เด็กอายุราวๆ เด็ก 2 คนที่ยืนให้ถ่ายรูปหน้าจอหนังนั่นแหละครับ สมัยก่อน กล้องถ่ายรูปราคาแพง เด็กๆ อย่างผมจะได้ถ่ายรูปกับเขาสักครั้งก็ตอนที่จะเอารูปถ่ายไปติดใบสุทธินั่นแหละครับ พอเห็นภาพนี้ ก็คิดถึงอดีต ตอนที่วิ่งเล่นหน้าจอหนัง..ดีใจที่จะได้ดูหนังกลางแปลง จอหนังก็เป็นจอผ้าแบบนี้ ใช้เสาไม้ไผ่ 2 เสา ถ้าโก้ขึ้นมาหน่อย ก็จะเป็นเสาเหล็กท่อประปา ขึงจอแล้ว ก็ใช้เชือกสี่เส้นดึงเสาให้ตึง ตอนยังไม่ฉายก็ปล่อยให้ผ้าจอปลิวรับลมเล่นๆ ไปก่อน เวลาจะฉายก็ค่อยมามัดจอให้ตึง จะมีลำโพงฮอนมัดไว้ที่เสาจอข้างละตัว ลากสายลำโพงไปที่ที่ตั้งเครื่องฉายหนัง..ที่ตั้งเครื่องฉายหนังก็จะคล้ายๆ ภาพล่าง จะมีเครื่องฉาย มีเครื่องขยาย เครื่องเล่นแผ่นเสียง มีไมโครโฟน..ก็จะมีเด็กๆ มารุมล้อมใกล้ๆ ผมเองก็จะอยู่แถวๆ หลังเครื่องฉายนั่นแหละครับ..ปัจจุบัน ความสุขแบบนี้คงหาไม่ได้อีกแล้วเพราะโลกเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากๆ ก็ได้นั่งคิดถึงอดีตนะครับ..

        ภาพถ่ายสองภาพนี้ ผมได้มาจากพี่ไกวัล วัฒนไกร นักพากย์หนังชื่อดัง ผู้ชายนั่งซ้ายมือสุดก็คือ นายจำริต วัฒนไกร คุณพ่อของพี่ไกวัล วัฒนไกร ซึ่งเคยเป็นเจ้าของวิกหนังที่สามชุก สุพรรณบุรี เคยเร่ฉายหนังกลางแปลงมาก่อน อันเป็นสาเหตุให้พี่ไกวัลได้มาเป็นนักพากย์ แต่เป็นโดยพี่คุณพ่อไม่ค่อยจะสนับสนุนนะครับ..

        เป็นไปตามมาตรฐานโลกครับ.. แต่เดิมหนังไทยเราก็สร้างในระบบ 35 มม.มาก่อน แต่เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ขาดแคลนฟิล์มหนัง 35 มม. คุณแท้ ประกาศวุฒิสาร จึงริเริ่มถายหนังไทยด้วยฟิล์ม 16 มม.เรื่อง สุภาพบุรุษเสือไทย..เมื่อฉายได้สตางค์ คนดูไม่เกี่ยงว่าจะเป็นฟิล์มอะไร ขอให้เป็นหนังที่ดูได้ ก็ดูแล้ว จึงมีผู้อื่นสร้างหนังด้วยฟิล์ม 16 มม.ตามมาอีกเรื่อยๆ จนเกิดยุครุ่งเรืองของหนัง 16 มม.ตั้งแต่นั้นมาและฉายมาจนถึงปี 2515 ... ไทยก็กลับไปสร้างหนัง 35 มม.ตามเดิมครับ..

        ทุกวันนี้ กากฟิล์มหนัง 16 มม.แต่ละเรื่องที่หามาได้นั้น แม้หนังจะจบเรื่อง แต่ก็ไม่บริบูรณ์ เหลือประมาณ 30-70 นาทีต่อเรื่อง แรกๆ ก็คิดว่า จะตัดต่อฉายดูกันแบบใบ้ๆ พอเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเคยมีหนังเท่านั้น ตอนนี้ ต้องคิดใหม่คือ ฟิล์มเหลือเท่าไหร่ ก็ฉายเท่านั้น ต้องแกะปากทำบทพากย์และก็ช่วยกันพากย์ออกมาฉายเลยครับ ไม่งั้น หนังที่ตายแล้ว ก็จะตายซ้ำซากอีกครับ นี่หนังปี 2499 เรื่อง สุดทางรัก กำลังตัดต่อ


"มนัส กิ่งจันทร์ ภาคสอง ชุมทางหนังไทยในอดีต" โดยเติมคำว่า "ภาคสอง" คั่นกลางไว้..
อดีตจากฟิล์มภาพยนตร์ ไม่มีวันตาย..