ประวัติ ของ มนัส กิ่งจันทร์
ติดตามได้ที่...
https://www.facebook.com/groups/156185157894883/permalink/173899939456738/#!/groups/156185157894883/
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=262431557234822&set=o.156185157894883&type=1&theater
(http://image.ohozaa.com/i/947/rQooyv.jpg) (http://image.ohozaa.com/view2/wZuZvMsaGFsDGlmD)
เรื่องเล่าในวัยเยาว์ ของ มนัส กิ่งจันทร์
ผม กับ “หนังกลางแปลง” นั้น แยกกันไม่ออกมาตั้งแต่จำความได้ มาถึงวันนี้ เวลาก็ผ่านไปเกือบ 40 กว่าปีแล้วครับ.. ก็มานั่งคิดๆ นั่งทบทวนถึงอดีต เผื่อว่า เกิดมีใครมาถามว่า “ทำไม ถึงมีวันนี้ ” ก็จะได้รู้เหตุรู้ผลสักหน่อย.. สมัยเด็กๆ ผมชอบดูหนังกลางแปลง แล้วก็ชอบไปเก็บเศษฟิล์มหนัง.. ตอนนั้นกำลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนเมืองสุรินทร์ ก็เริ่มหาเก็บเศษฟิล์มมาฉายสไลด์ (หนังนิ่ง) เล่นๆ ไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสุรวิทยาคาร สุรินทร์ แล้วพอเทอมปลายของชั้น ม.ศ. 3 ไปจนถึงชั้น ม.ศ. 5 ผมก็ไปฉายหนังกลางแปลงกับเขาจริงๆ.. แต่ว่า ช่วงที่เรียนชั้น ป.4 โรงเรียนเมืองสุรินทร์ นั้น ผมชอบฉายหนังสไลด์ วิธีการฉายนั้น ก็ต้องมี แว่นขยาย เป็นเลนส์นูน สมัยนั้นขายอันละ 5 บาท แล้วก็ต้องหาแสงสว่าง ถ้าเป็นกลางวัน ก็จะใช้แสงจากแดด ใช้กระจกเงารับแสงส่อง แต่ถ้าเป็นกลางคืน ก็จะใช้แสงจากกระบอกไฟฉาย โดยเลือกไฟฉายหลอที่รวมแสงมากที่สุด..จากนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือ ต้องไปหาเก็บเศษฟิล์มหนังที่บริการหนังกลางแปลงเขาตัดทิ้ง พอได้มาก็ต้องหาแผ่นกระดาษแข็งมาเจาะรูให้ได้ขนาดเท่าช่องฟิล์ม ถ้าเป็นฟิล์ม 16 มม.ก็ช่องเล็กหน่อย ถ้าเป็นฟิล์ม 35 มม. ก็เจาะใหญ่ขึ้นมาหน่อย.. แล้วเอาเทปหรือกระดาษปิดกาวแป้งเปียกปิดทับที่หนามเตยไว้ ก็เป็นอันเสร็จวิธีสำหรับการทำแผ่นสไลด์..
เวลาฉายก็จะกลับหัวภาพในฟิล์มคว่ำลง เอาแสงส่องจากด้านหลังผ่านตัวฟิล์มไป พอแสงไปกระทบกับแว่นขยายที่รออยู่ด้านหน้า ภาพที่ปรากฏบนจอหนัง ก็จะเป็นภาพหัวตั้งตามปกติ เพื่อนๆ นักเรียน เพื่อนแถวๆ บ้านผมต่างก็ฉายหนังสไลด์เล่นกันหลายคน แต่สำหรับผมแล้ว จะมีการสร้างจอหนังให้เหมือนจอหนังจริงๆ ถ้าฉายกลางคืนแล้ว ผมจะเอาไฟฉายไปซ่อนไว้ในกระป๋องลูกอม เล็กดีรสโต ซึ่งกระป๋องจะคล้ายเตาอ๊าคมากๆ แถมยังทาสีดำๆ ให้เหมือนเตาอ๊าคอีก ผมเองมีเศษฟิล์มที่เก็บมาได้มากกว่าใครๆ ไม่ว่าจะเป็นฟิล์มข่าว ฟิล์มโฆษณาหรือฟิล์มที่เป็นชื่อหนัง จึงเป็นที่สนใจของเพื่อนๆ อย่างมาก ตอนเรียนประถม ผมก็แอบนำกระจกเงา แว่นขยายกับเศษฟิล์มไปโรงเรียนด้วย พอพักเที่ยง ก็จะแอบฉายกันดูที่หลังเวทีของหอประชุมโรงเรียนเมืองสุรินทร์ เจอครูมาไล่บ้างก็มี แต่ถ้าเป็นกลางคืน ก็จะตั้งจอหนังเล็กๆ ฉายกันเล่นๆ ในบริเวณบ้านตัวเอง เปิดเสียงจากวิทยุบ้าง ทำทีเป็นพากย์บ้าง บางทีก็ฉายเก็บสตางค์เพื่อนๆ สลึงหนึ่ง..หากไล่ พ.ศ. ดูจากอายุ เด็กอายุ 7 ขวบจึงจะเข้าเกณฑ์เรียนชั้น ป.1 ได้ ก็น่าจะอยู่ในช่วงปี 2512 ถึงปี 2521 ครับที่ผมหาเก็บเศษฟิล์มหนังมาฉายสไลด์เล่นๆ
ส่วนบริการหนังฉายกลางแปลงเจ้าแรกๆ ที่ผมคุ้นเคยแต่เด็กๆ ก็คือ บริการเหรียญชัยภาพยนตร์ จะเป็นเจ้าประจำที่มีคนจ้างให้ไปฉายในตัวเมืองสุรินทร์บ่อยที่สุด บริการเหรียญชัยภาพยนตร์นั้น ที่ตั้งสำนักงานหรือสมัยก่อนจะเรียกว่า ที่ตั้งบริการหนังจะอยู่ใกล้ๆ ปั๊มน้ำเอสโซ่ ห่างจากสามเหลี่ยมเทศบาลเมืองสุรินทร์ไปนิดหน่อย อยู่ริมถนนจิตรบำรุง จะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นล่างจะเป็นสำนักงานติดต่อจ้างหนัง จะมีใบปิดโปสเตอร์หนังติดไว้เต็มบ้าน ผมชอบไปยืนดูใบปิดโปสเตอร์หนังเวลาที่ไปเก็บเศษฟิล์มที่เขาตัดทิ้ง ในบริการหนังเขาจะเอาใบปิดโปสเตอร์หนังที่เพิ่งซื้อมาใหม่ๆ มาปิดทับใบปิดเก่าเสมอๆ ส่วนตรงที่ผมจะไปเก็บเศษฟิล์มหนังนั้น จะเป็นซอกข้างๆ บ้านที่กั้นไว้เป็นห้องให้เด็กหนังนอน สายๆ พอเด็กหนังนอนตื่นมา ก็จะนำฟิล์มหนังที่ฉายเมื่อคืนนี้มากรอม้วนกลับ เตรียมไว้ฉายอีก ผมก็จะไปยืนดูเวลาเด็กหนังกรอฟิล์ม รอว่า เมื่อไรฟิล์มจะขาด เด็กหนังก็จะตัดต่อ ตัดทิ้ง แล้วผมกับเพื่อนๆ ก็จะแย่งกันเก็บเศษฟิล์มกัน แต่ก่อนหนังกลางแปลงที่ไปฉายแถวๆ บ้านผมนั้น จะได้ฟิล์มที่ผ่านการฉายมาจากจังหวัดอื่นๆ แล้ว ฟิล์มจึงชำรุดและขาดง่าย โดยเฉพาะขาดตรงรอยต่อเดิมๆ
ฉะนั้น เวลาบริการหนังได้ฟิล์มมา เขาก็จะตัดตรงรอยต่อเก่าทิ้งทุกครั้ง แล้วก็ต่อฟิล์มใหม่ให้สนิทเพราะกลัวว่า ถ้าฉาย หนังจะขาด กลัวโดนโห่ กลัวเสียชื่อเสียง.. แต่ก่อน ถ้าบริการหนังเจ้าไหน ฉายหนังยันโต้รุ่ง (ประมาณ 5 เรื่อง) แล้วฟิล์มไม่ขาดเลยหรือถ่านอ๊าคเครื่องฉายไม่ดับ จอไม่มืด จะเป็นที่เลื่องลือมากๆ ซึ่งนี่เองคือ ข้อดีของ บริการเหรียญชัยภาพยนตร์ ที่สมัยนั้นครองแชมป์หนังกลางแปลงเมืองสุรินทร์ จอหนังของบริการเหรียญชัยภาพยนตร์จะเป็นจอผ้าขาวธรรมดา ยังไม่ใช่จอพลาสติก จะมีเสาตั้งจอแค่ 2 เสา ส่วนลำโพงก็มีแค่ลำโพงฮอน 2-4 ตัว ยังไม่ตู้ลำโพงใหญ่ๆ เครื่องขยายเสียงที่คุ้นๆ ก็เป็นเครื่องหลอดยี่ห้อรอแยล ขนาดประมาณ 150-250 วัตต์เท่านั้น แต่ก็ดังลั่นทุ่งไม่เหมือนวัตต์ PMPO ในปัจจุบัน เมื่อใดที่บริการเหรียญชัยภาพยนตร์มาฉายกลางแปลง ก็เป็นอันเสร็จผมทุกครั้ง ถ้าเป็นหนังจีน หนังแขก นักพากย์ประจำของบริการนี้ ก็คือ เจ้าของบริการหนังเองซึ่งใช้ชื่อในการพากย์ว่า “นายเทวดา” แต่ผมมารู้ชื่อจริงของเขา ก็ตอนที่เขาลงสมัครสมาชิกสภาเทศบาลเมืองสุรินทร์ว่าชื่อ นายสุเมธ เจนครองธรรม เป็นคนผิวขาวเหมือนคนจีน หน้าตาคมสันต์ มีหนวดนิดหน่อย
จำได้ว่า ตอนเขาพากย์หนังจีน ตอนนั้นมีการปิดถนนธนสารฉายใกล้ๆ ร้านขายยาไต้อันตึ้ง พอในหนังจีนมีฉากที่พระเอกบาดเจ็บ แล้วนางเอกจะออกไปซื้อยามารักษา พระเอกก็บอกว่านางเอกว่า..ไปซื้อยา ที่ร้านขายยาไต้อันตึ้งน่ะ.. เล่นเอาคนดูฮากันลั่น..อีกอย่างตอนนั้นเพลงลูกกรุงชื่อ น้ำตาหรือจะแก้ปัญหาใจ เสียงร้องโดย ศรวณี โพธิเทศ โด่งดังใหม่ๆ ซึ่งเป็นคนสุรินทร์เหมือนผม นายเทวดา เขาก็จะพากย์ปลอบนางเอกที่กำลังเสียใจในหนังว่า.. หยุดร้องไห้เสียเถอะ ที่รัก..น้ำตาหรือจะแก้ปัญหาใจได้.. เล่นเอาสาวๆ หันไปมองหน้านักพากย์กันเป็นแถวๆ
จริง ๆ แล้ว บริการเหรียญชัยภาพยนตร์ เขาฉายหนังกลางแปลงมาตั้งแต่ยุคหนัง 16 มม. แต่ผมไม่ค่อยอยากจะได้เศษฟิล์ม 16 มม. เพราะฟิล์มมันเล็กๆ เวลาฉายสไลด์ จอก็จะเล็กตามไปด้วย ไม่เหมือนฟิล์ม 35 มม. ที่จอดูใหญ่กว่าเยอะ หนังที่ผมจำได้แม่นๆ ของบริการเหรียญชัยภาพยนตร์เพราะไปดูใบปิดโปสเตอร์บ่อยๆ และเคยเห็นเวลาเขากรอฟิล์มหนังด้วย แต่ยังไม่เคยได้ดูเลยก็คือเรื่อง นี่แหละรัก (ไชยา-พิศมัย) แควเสือ (ครรชิต) โดยเฉพาะเรื่อง แควเสือ นั้น ผมเคยเก็บเศษฟิล์มฉากแข่งเรือได้ด้วย ตอนนั้น ดีใจมากๆ บริการเหรียญชัยภาพยนตร์ ฉายหนังมานานจนมีการพัฒนาจากจอผ้า มาเป็นจอพลาสติก มีโครงเหล็กเป็นเสา 3 เสา เป็นจอโค้ง แล้วเริ่มมีตู้ลำโพงขนาดประมาณครึ่งเมตร สูงประมาณ 2 เมตร ขนาบข้างจอ ข้างละ 1 ตู้..
ผมตามเก็บเศษฟิล์มที่บริการเหรียญชัยภาพยนตร์ มาตั้งแต่ชั้นประถมปีที่ 4 ถึงชั้นมัธยมต้น ต่อมาภายหลัง เขาไปซื้อบ้านใหม่แถวๆ ถนนหลังโรงพยาบาลสุรินทร์ ซึ่งไกลจากที่เดิมไปมาก แถวนั้นจะเรียกว่า “บ้านหมอกวน” เลยโรงเรียนสุรวิทยาคาร ที่ผมเรียนไปอีก ผมก็ไปเก็บเศษฟิล์มอีกไม่กี่ครั้ง ก็เลิกไปเพราะลักษณะเป็นบ้านมีรั้ว เข้าไปเก็บเศษฟิล์มยากขึ้น ประกอบกับเริ่มมีบริการหนังอื่นๆ เปิดตัวขึ้นมาเยอะ ก็เลยไปเก็บที่บริการอื่นบ้าง..ถ้าไล่ความเก่า ความดังของหนังกลางแปลงเมืองสุรินทร์แล้ว ช่วงนั้นก็ต้อง บริการเหรียญชัยภาพยนตร์ แต่ถ้าเก่าจริงๆ แต่ไม่ค่อยดังเพราะฉายแต่หนัง 16 มม. เป็นส่วนใหญ่ ก็ต้องบริการโพธิ์ทองภาพยนตร์ ของ ตาโพธิ์ ซึ่งตั้งอยู่ถนนหลักเมือง ใกล้บาร์ซีซ่าไนต์คลับ แต่ว่าช่วงนั้นคนในเมืองสุรินทร์ เขาไม่นิยมจ้างหนัง 16 มม.ไปฉายแล้ว บริการโพธิ์ทองก็เลยไปฉายตามต่างอำเภอเป็นหลัก..
แต่พอบริการโพธิ์ทองภาพยนตร์ เริ่มมีหนัง 35 มม. ก็เป็นหนังไม่ดังอีก ที่จำได้แม่นๆ และไปเก็บเศษฟิล์มได้มาเยอะจนเบื่อหนังเลยก็คือเรื่อง ทางสายใหม่ ที่ ยอดชาย แสดง เป็นหนังที่บริการโพธิ์ทองซื้อขาดมาฉายประจำบริการ ส่วนเรื่องอื่นก็ต้องไปเช่ามาจากบริการอื่นๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่า จะไม่เคยประทับใจของบริการโพธิ์ทองภาพยนตร์เลยนะครับเพราะมีครั้งหนึ่ง มีงานศพที่วัดพรหมสุรินทร์ ญาติเจ้าภาพคงเป็นคนกรุงเทพฯ เพราะหนังที่ฉายในงานศพนั้น มีแต่หนังใหม่ๆ ตอนแรกพอผมรู้ว่าเป็นจอหนังบริการโพธิ์ทองภาพยนตร์ ผมก็ว่า จะไม่ไปดูเพราะรู้ว่า บริการโพธิ์ทองนั้นมีหนังเรื่องอะไรบ้าง แต่พอเดินไปถึงวัด ก็ไปดูกระเป๋าหนัง ก็เห็นเป็นกระเป๋าไม่มีชื่อ เห็นเด็กหนังกำลังกรอฟิล์มอยู่ ผมก็เข้าไปดู เห็นเขาพูดๆ กันว่า เจ้าภาพนำฟิล์มหนังมาจากกรุงเทพฯ เอง...
มีแต่หนังใหม่ๆ...คืนนั้น ผมก็เลยได้ดูหนังเรื่อง กาม รักทะเล้น ซึ่งเป็นหนังเพิ่งออกโรงใหม่ๆ รักทะเล้น นี่เองที่ผมดูแล้ว อยากมาเรียนกรุงเทพฯ อยากเป็นเหมือนพวกนักศึกษาในหนัง คืนนั้นฝนตกด้วย เขาก็เลยเลื่อนเครื่องฉายมาไว้ที่ใต้ศาลาวัด ผมก็นั่งดูอยู่ใกล้เครื่อง พอจบ 2 เรื่องนี้ ก็เริ่มฉายหนังเก่าๆ ของบริการโพธิ์ทอง ผมก็เลยกลับบ้าน...
ส่วนที่กลางเก่า กลางใหม่ แต่ว่าไม่ค่อยเป็นที่รู้จักอีกเจ้าหนึ่ง ก็คือ บริการระพินทร์ภาพยนตร์ ของนายรามิศร ภัทรพานี ที่จำชื่อได้เพราะตอนนั้น ผมอ่านชื่อว่า รา-มิ-ศร เจ้านี้มีแต่หนัง 35 ม.ม. เจ้าของรู้สึกจะเป็นข้าราชการ แต่ผมก็ไม่ชอบบริการนี้เพราะเวลาไปฉายหนังที่ไหน เขาจะไปด้วยรถบรรทุก 6 ล้อ ป้ายชื่อข้างๆ รถก็ไม่มีชื่อบริการหนังเหมือนเจ้าอื่นๆ และก็มีแต่คนต่างอำเภอมาจ้างไปฉายมากกว่า หนังที่บริการระพินทร์ภาพยนตร์ มีก็ได้แก่เรื่อง ตลาดพรหมจารี ที่ ดวงดาว จารุจินดา แสดง เรื่อง เผ็ด เรื่อง 4 สีทีเด็ด ก็เป็นหนังตลกที่ผมชอบ..ที่จำได้ก็เพราะจอและอุปกรณ์ต่างๆ พร้อมหนังเหล่านั้น ภายหลังมีการขายต่อให้กับบริการหนังของพ่อเพื่อนผม ซึ่งนำมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริการสมยศภาพยนตร์ ซึ่งผมเข้าไปช่วยฉายเมื่อตอนเรียน ม.ศ. 3 นั่นแหละครับ..
บริการระพินทร์ภาพยนตร์จะมีสำนักงานเป็นห้องแถวไม้ 2 ชั้น อยู่ริมสระน้ำวัดจุมพลฯ ตรงข้ามกับสวนรัก ข้างคูเมือง แต่จะอยู่หัวมุมสระน้ำช่วงที่ติดกับที่ว่าการอำเภอเมืองสุรินทร์ในปัจจุบัน ถัดจากบริการระพินทร์ภาพยนตร์ ถ้าเดินขึ้นไปริมคูเมืองไปทางวัดจุมพลฯ ก็มีบริการหนังกลางแปลงอีกเจ้าหนึ่งคือ บริการสหมิตรภาพยนตร์ ซึ่งมีหน่วยฉายระบบ 16 มม.สโคปกับหน่วยฉาย 35 มม.จริงๆ บริการสหมิตรภาพยนตร์นี่เอง ที่ผมเคยดูหนังมิตรเรื่อง มนต์รักลูกทุ่ง จำได้ว่าเป็นฟิล์ม 16 มม.สโคป เคยดูหนังจีน หนังญี่ปุ่นเรื่อง 8 เซียนกายสิทธิ์ เคยดูหนังเขมรเรื่อง ถล่มฤทธิ์พญายักษ์ 2 สิงห์ 2 แผ่นดิน แต่ว่า พอเขาเปลี่ยนมาฉายหนัง 35 มม. แล้ว ก็จำได้ว่า เคยไปเก็บเศษฟิล์มเรื่อง มือปืนพ่อลูกอ่อน นักเลงเทวดา..
ส่วนหนังกลางแปลงยุคกลางๆ สำหรับผมในตอนนั้นคือ ช่วง ปี 2518-2521 ก็ได้แก่ บริการเอกชัยภาพยนตร์ ซึ่งเจ้าของหนังเคยเปิดร้านซ่อมเครื่องขยายเสียงมาก่อน เคยซ่อมเครื่องเสียงให้กับบริการเหรียญชัยภาพยนตร์ ภายหลังก็มีการตั้งบริการหนังขึ้นมาชื่อ บริการเอกชัยภาพยนตร์ จะอยู่ใกล้ๆ กับบริการเหรียญชัยภาพยนตร์ ที่ถนนจิตรบำรุง ถัดเข้าซอยไปประมาณ 50 เมตร ผมเคยไปดูเจ้าของบริการนี้ เขาซ้อมฉายหนังอินเดีย ตอนที่เขาจะเปิดบริการใหม่ๆ เคยเห็นเขาพากย์หนังอินเดียด้วย..บริการเอกชัยภาพยนตร์ นี่ได้ยืนระยะต่อมาอีกนานเพราะภายหลังเพื่อนของผมที่เคยไปฉายหนังกลางแปลงด้วยกัน ก็ไปเป็นนักพากย์หนังให้กับบริการเอกชัยภาพยนตร์ช่วงที่ผมเข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯ แล้ว
ยังมีบริการหนังกลางแปลงอีกแห่งหนึ่งอยู่ในซอยใกล้วัดหนองบัว สุรินทร์ ช่วงที่จะเดินไปสถานีตำรวจภูธรสุรินทร์ บริการนี้เป็นห้องแถวตั้งอยู่ริมถนน ใต้ถุนบ้านเป็นคูเมืองเก่า ผมเคยไปเก็บเศษฟิล์มหนังเรื่อง กระสือสาว ได้มาเยอะมากๆ แต่ว่า เขามาอยู่ที่ตรงนี้ ได้ไม่นานก็ย้ายไปที่อื่น ตอนนี้ยังนึกชื่อบริการหนังนี้ไม่ออกว่าชื่ออะไร ช่วงที่หนังกลางแปลงเมืองสุรินทร์บูมที่สุดก็เป็นช่วงที่เกิดบริการวิมานพรภาพยนตร์ขึ้นมา ซึ่งผมมาทราบภายหลังตอนมาฝึกงานในกรุงเทพฯว่า พ่อของเพื่อนที่ฝึกงานด้วยกัน เคยเป็นหุ้นส่วนอยู่ด้วย แต่บริการหนังนี้ โชคไม่ดี ในวันเปิดหน่วยฉายครั้งแรก ผมจำได้แม่นเพราะมาฉายที่ถนนเทศบาล 3 หลังบ้านผมพอดีเรียกว่า ข้ามรั้วจากบ้านผม เดินผ่านที่ว่างประมาณ 10-20 เมตรก็ถึงจอหนังแล้วครับ..
วิมานพรภาพยนตร์เป็นยุคจอหนังพลาสติก มีตู้ลำโพง 2 ตัว มีเครื่องขยายเสียงขนาด 500 วัตต์ ซึ่งตอนนั้นถือว่า เท่มากๆ ตอนหัววัน ช่วงที่เขาเปิดเพลงนั้น ผมก็ไปนั่งเฝ้า นั่งดูเครื่องฉาย ก็เห็นว่า อุปกรณ์ทุกอย่างเป็นของใหม่หมด ยังได้ยินคนที่เป็นเจ้าของหน่วยฉายบอกว่า คืนนี้ เป็นการฉายครั้งแรก จะฉายเอาชื่อเสียงสักหน่อย.. แต่พอฉายเข้าจริงๆ ก็เกิดเหตุตาลปัตรเพราะเกิดเหตุไม่คาดฝัน หนังที่ฉายจำได้แม่นว่า ชื่อเรื่อง มัน ที่สมบัติเล่นเป็น จ่าเยี่ยม ยอดยิ่ง เพราะดูไม่จบ..มัวแต่โห่ ก็เขาเล่นฉายขาด ม้วนหนึ่งขาดเป็นสิบๆ เที่ยว เข้าใจว่า เกิดจากความไม่คุ้นเครื่องของเด็กหนังที่ถูกดึงตัวมาจากบริการอื่นมาฉายแทนเพราะเพิ่งเปิดหน่วยใหม่ ทีนี้ แต่ก่อน เวลาฉายหนัง ถ้าเป็นช่วงเปิดเพลง เขาจะเร่งเครื่องปั่นไฟไว้ประมาณ 200-220 โวลต์ แต่ถ้าเดินเครื่องอ๊าคฉายเมื่อไร ไฟก็จะตก ทำให้ต้องมีการเร่งเครื่องปั่นไฟใหม่อีก..นักพากย์ก็จะบอกว่า เอ้า..
พนักงานเร่งไฟหน่อย ตาก็จะมองไปที่เข็มมิเตอร์ ดูว่าได้ไฟ 200-220 โวลต์หรือไม่ (ถ้าเป็นรุ่นผมฉาย จะตั้งไว้แค่ 200 เท่านั้น) พอได้ที่ก็จะให้พนักงานล็อกเครื่องไฟไว้ เจ้ากรรมมันเกิดเหตุขึ้นว่า เครื่องอ๊าคที่ฉายคืนนั้น มันเป็นเครื่องใหม่ ไม่คุ้นมือเด็กฉาย พอเปลี่ยนถ่ายอ๊าค ก็ต่อถ่านไม่ถนัด เกิดดับๆ ติดๆ จนทำให้ไฟที่มิเตอร์วิ่งขึ้นเกิน 220 โวลต์ทันที เครื่องเสียงที่เพิ่งซื้อใหม่ๆ ก็ฟิวส์ขาดเพราะไฟเกิน..เห็นเขาไปลดไฟ แล้วก็เอากระดาษฟรอยซองบุหรี่สีเงินไปพันรอบฟิวส์เครื่องขยายไว้ แล้วก็ฉายต่ออีก สักพักก็เกิดต่อถ่านอ๊าคดับอีก คราวนี้ ไฟเกิน เครื่องขยายก็ควันขึ้นทันที คืนนั้นเครื่องขยายเสียงเสีย หัวเครื่องฉายหนังก็กินฟิล์ม ขาดเป็นว่าเล่น หนังก็เลยเลิกฉายเพราะคนดูโห่และทยอยกลับบ้านไปเรื่อยๆ จนไม่มีใครอยู่ดูต่อ..
สายๆ วันรุ่งขึ้น ผมก็ตามไปเก็บเศษฟิล์มเรื่อง มัน เพราะเห็นมันขาดเยอะ สำนักงานของบริการวิมานพรภาพยนตร์จะอยู่แถวห้องแถวคนจีนที่เรียกชื่อว่า ฮวยโล ไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร จะอยู่ถนนจำชื่อไม่ได้ ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟสุรินทร์ ผมก็ไปเก็บเศษฟิล์มมาได้ แต่ว่าไม่กล้าอยู่นานเพราะเห็นเถ้าแก่เขากำลังด่าลูกน้องที่ฉายหนังขาดเมื่อคืนนี้ เห็นเขาบ่นกันยุ่งๆ จนไม่กล้าจะยืนรอเก็บเศษฟิล์ม อีกอย่างที่ไม่ค่อยได้ไปเก็บฟิล์มที่บริการนี้ก็เพราะว่า เขามีแต่หนังใหม่ๆ ฟิล์มไม่ค่อยจะขาด...
อย่างไรก็ตาม ต่อมาบริการวิมานพรภาพยนตร์ ก็มีชื่อเสียงมากขึ้นตามลำดับ มีหน่วยฉายเพิ่มเป็นหลายจอและเนื่องจากผู้ดำเนินกิจการเป็นคนเชื้อสายจีน จึงมักจะมีคนจีนจ้างไปฉายในงานบ่อยๆ ผมก็พลอยได้รับอานิสงส์ดูหนังฟรีๆ ไปกับเขาด้วย บริการวิมานพรภาพยนตร์ ชอบเปิดเพลงก่อนฉาย ไม่เหมือนบริการอื่นๆ เขาชอบเปิดเพลงสากล แล้วก็เพลงลูกกรุงที่ ดาวใจ ไพจิตร ร้อง..ต่อมาไม่รู้ว่า ความโด่งดังของบริการวิมานพรภาพยนตร์หรือเปล่า จึงทำให้มีบริการหนังกลางแปลงจากจังหวัดบุรีรัมย์ อย่างบริการสมศักดิ์ภาพยนตร์ บริการไทยสงวนภาพยนตร์ เข้ามาเปิดสาขาที่จังหวัดสุรินทร์ เฉพาะแต่บริการสมศักดิ์ภาพยนตร์นั้น ผมได้ยินชื่อเสียงโฆษณาทางวิทยุบ่อยๆ ไม่เคยได้ดูผลงานจริงๆ สักที พอได้ข่าวว่า มีบริการสมศักดิ์ภาพยนตร์จากบุรีรัมย์ มาตั้งอยู่ที่สุรินทร์ ก็เลยเห่อไปกับเขาด้วย แต่ว่า เห่อไปดูหนังครับ เศษฟิล์มนะเก็บไม่ได้เพราะมีแต่หนังใหม่ๆ ฟิล์มไม่ค่อยขาดแล้ว..
บริการสมศักดิ์ภาพยนตร์ น่าจะเป็นเจ้าแรกในเมืองสุรินทร์ที่นำระบบไฟกระพริบรอบจอมาใช้ ตอนนั้นเล่นเอาผมตะลึงเพราะไม่เคยเห็นไฟวิ่ง ไฟกระพริบบนจอหนังมาก่อน เขาจะเปิดไฟวิ่งเวลาเปิดเพลง พอหนังฉายก็ปิด แต่ถ้าหนังมีเพลงเมื่อไร เขาก็จะเปิดไฟกระพริบทันที เป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจที่สุด.. อย่างที่บอกว่า บริการสมศักดิ์ภาพยนตร์ มีแต่หนังใหม่ๆ ผมได้ดูเรื่อง วัยอลวน รักอุตลุด พร้อมระบบไฟกระพริบรอบจอ ก็จากบริการสมศักดิ์ภาพยนตร์นี่แหละครับ ขณะที่บริการไทยสงวนภาพยนตร์จากบุรีรัมย์ เข้ามาชิมลางและตั้งสำนักงานสาขาทีหลัง ผมก็ได้ดูหนังอย่างเรื่อง ยอดมนุษย์คอมพิวเตอร์ ชูชกกัณหาชาลี พร้อมไฟวิ่งรอบจอ ก็เจ้านี่แหละ จากการมีระบบไฟกระพริบนี่เอง ทำให้บริการหนังต่างๆ ในสุรินทร์ เริ่มติดตั้งไฟกระพริบ เพิ่มตู้ลำโพงให้มากขึ้น เพื่อแข่งกับบริการสมศักดิ์ภาพยนตร์ ให้ได้ ตู้ลำโพงก็จะเป็นขนาดใหญ่ขึ้น ฉายตามปกติก็จะมีข้างละ 2 ตู้ รวม 4 ตู้ เป็นอย่างต่ำ ถ้าฉายประชัน ก็ขนตู้ลำโพงมาข้างละ 4-5 ตู้ เพิ่มเครื่องขยายเสียงเป็น 1000 วัตต์ เพิ่มลำโพงฮอนเท่าจำนวนตู้อีกต่างหาก..