เวบบอร์ดสำหรับผู้ชื่นชอบระบบการฉายภาพเคลื่อนไหว

*** โฆษณาผู้สนับสนุนหลักเวบไทยซีเน *** => ข่าวคราวหนังไทย หนังฝรั่ง หนังจีนสากล ยุค 80-90 => ข้อความที่เริ่มโดย: หลวงจีนหอไตร ที่ 13 ตุลาคม 2023, 19:46:40

หัวข้อ: ค่าหัวงูเห่า/ ใน อินเดีย เจอ จ่าย จบ/ ใน ไทย
เริ่มหัวข้อโดย: หลวงจีนหอไตร ที่ 13 ตุลาคม 2023, 19:46:40
(https://scontent.fbkk2-4.fna.fbcdn.net/v/t39.30808-6/375567537_843875323762951_7426050154717926675_n.jpg?_nc_cat=101&ccb=1-7&_nc_sid=5f2048&_nc_eui2=AeHrxaIhPJtb4Ozl73MOP3WWLDho78IbyPYsOGjvwhvI9r2L5vP9bnrdY27AXBANLJgHiXcJvvLrxHsq1_ji0FUB&_nc_ohc=t78Rgt5aJm0AX-zvPDY&_nc_ht=scontent.fbkk2-4.fna&oh=00_AfBfnqoGW7HQWHE783SPz3BgBhdvwAPgTcgqGPh__fr6Vg&oe=652DD6F6)

ค่าหัวงูเห่า/ ใน อินเดีย,
ไวท์วอล์คเกอร์/ ใน เวสเทอรอส,
เจอ จ่าย จบ/ ใน ไทย,

มีความเหมือนกันอย่างไร

ค่าหัวงูเห่า : ยุคสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมอังกฤษ ตอนนั้นมีงูเห่าเยอะมากในอินเดีย อังกฤษจึงปิ๊งไอเดียให้ชาวอินเดียล่างูเห่ามาขึ้นเงินค่าหัวเพื่อกำจัดงูเห่าให้มากที่สุด แต่คนอินเดียก็นะ แทนที่จะล่าแบบสุจริตชน แต่กลับขี้โกงทำฟาร์มงูเห่าซะเลย เมื่อเริ่มลุกลามฟาร์มงูเกลื่อนอินเดีย จนรู้ไปถึงอังกฤษว่าคนอินเดียหัวใสใช้วิธีนี้ อังกฤษเลยยกเลิกโครงการค่าหัวงูเห่า ส่งผลให้ฟาร์มงูไม่มีรายได้จากการเลี้ยงงูในฟาร์มไปขึ้นเงิน เลยปล่อยเซอร์ ปล่อยงู งูจะเป็นยังไงไม่สน ส่งผลให้ประชากรงูเห่าเพิ่มทวีคูณในอินเดียหนักกว่าเดิม

ไวท์วอล์คเกอร์ : เด็กแห่งพงไพรอยู่ในทวีปเวสเทอรอสอย่างสงบมาเนิ่นนาน จนกระทั่งกลุ่มมนุษย์ที่พวกเขาเรียกตัวเองว่า เฟิร์สแมน ข้ามทวีปมาลงหลักปักฐานที่เวสเทอรอส เบียดเบียนรุกรานถิ่นที่อยู่ของเด็กแห่งพงไพร เหล่าเด็กแห่งพงไพรจึงจับตัวหนึ่งในเฟิร์สแมนมาสร้างให้เป็นผีดิบแห่งความเยือกเย็นที่ชื่อ ไนท์คิง เพื่อไปสู้กับพวกเฟิร์สแมน ไนท์คิงเริ่มสร้างกองทัพ "ไวท์วอล์คเกอร์" ขึ้นมา โดยเปลี่ยนพวกเฟิร์สแมนนั่นแหละเป็นไวท์วอล์คเกอร์ แต่กองทัพไวท์วอล์คเกอร์ไม่ได้โจมตีแต่เพียงเฟิร์สแมน หันไปโจมตีพวกยักษ์ และกลับไปโจมตีเด็กแห่งพงไพรด้วย เรียกว่าโจมตีไม่เลือกนั่นแหละ ศัตรูของศัตรูคือมิตร เด็กแห่งพงไพรจึงร่วมมือกับยักษ์และเฟิร์สแมน ขับไล่ไวท์วอล์คเกอร์ออกไปยังที่รกร้างหนาวเย็น เมื่อทำสำเร็จ เฟิร์สแมนและเด็กแห่งพงไพรก็ทำสัญญาไม่รุกรานกันอีก อยู่ใครอยู่มัน

เจอ จ่าย จบ : ในช่วงเริ่มต้นของการระบาด โควิด-19 ในไทย รัฐมนตรีสาธารณสุขให้คำมั่นว่า คุมได้ โควิดมันกระจอก เหล่าบริษัทประกันที่เห็นช่องทางทำเงิน บวกกับเชื่อในคำมั่นของรัฐมนตรีสาธารณสุข บวกกับประเมินความรุนแรงต่ำเกินไป จึงออกแคมเปญ "เจอ จ่าย จบ" ด้วยการขายประกันในหลักครึ่งพัน แต่ถ้าพบเจอเชื้อโควิด เอาไปเลย 100,000 บาท ประชาชนเห็นความคุ้มค่า จึงแห่กันทำประกันตัวนี้ ซึ่งบริษัทประกันภัยก็ขานรับแห่กันลอกเลียนแคมเปญนี้กันแทบทุกเจ้า

สิ่งที่ตามมาคือ

ด้านทางบริษัทประกัน ผลประกอบการปีแรกของทุกบริษัทประกันที่ทำแคมเปญ เจอ จ่าย จบ ทำกำไรมหาศาลให้กับพวกเขา

ด้านทางประชาชน เริ่มมีคนหัวใส ทำการซื้อ-ขาย เชื้อโควิด ทั้งทางดาร์คเว็บ หรือโจ่งแจ้งในกลุ่มเฟสบุ๊ค ผ้าเช็ดหน้าที่ปนเปื้อนสารคัดหลั่งของผู้เป็นโควิด ราคาดีดไปถึงหลักหมื่นเลยก็มี

วิริยะประกันภัย เป็นบริษัทเดียวในกลุ่ม เจอ จ่าย จบ ที่ฟังทีมประเมินความเสี่ยงของพวกเขา และยุติการขายประกันตัวนี้ก่อนเพื่อน ส่งผลให้เจ็บตัวน้อยที่สุด และจ่ายเงินเร็วที่สุด ชัวร์ที่สุด

เมื่อเข้าปีที่ 2 และ 3 ตามลำดับ โควิดระบาดหนักเกินจะควบคุม วัตซีนก็มีไม่พอ คนติดเชื้อมากมาย ตายบ้างรอดบ้างตามยฐากรรม และกลุ่มประชาชนที่ทำประกันเจอ จ่าย จบ แทบจะทุกคนติดเชื้อโควิด บริษัทประกันต่างๆเริ่มขาดทุน ไม่มีเงินจ่าย จนกระทั่งล้มละลายแจ้งปิดตัวไปหลายบริษัท

ณ ปัจจุบันมีสินมั่นคงประกันภัยเพียงบริษัทเดียวที่ยังคงเปิดอยู่ บริษัทที่ปิดตัวแจ้งล้มละลายไปก่อนหน้านี้ ผู้ที่ทำประกัน เจอ จ่าย จบ ทยอยได้เงินจากกองทุนประกันวินาศภัยกันแล้ว เกือบครบทุกคนแล้ว แต่ สินมั่นคงอยู่ในขั้นตอนฟื้นฟูกิจการ จึงยังไม่สามารถชำระหนี้ให้ผู้ทำประกันนี้ได้ ยุติการจ่ายมาตั้งแต่ปี 2022 แล้ว ในวันที่ 27 กันยายนนี้ จะเป็นการลงมติว่า เห็นด้วยกับการจ่ายเงิน 15% (15,000 บาท) แล้วเอาหุ้นบุริมสิทธิไปนอนกอดก่อน หรือ จะเลือกเอาเงินก้อนเดียว 100,000 บาท แต่ต้องรอให้ผู้ร่วมทุนเติมเงินเข้ามา และบริษัทมีกำไร ซึ่งกว่าจะให้ครบ คำนวนไว้ 56 ปี ถึงจะชำระหมด

สรุป : ทั้ง 3 เหตุการณ์ มันคือการตัดสินใจในสภาวะวิกฤติ ที่เห็นแก่ตัวเองทั้งนั้น ถ้าวิเคราะห์ในทุกแง่มุม ไปลองมองอีกฝั่ง อาจจะได้ผลลัพท์ที่เสียหายน้อยกว่าเดิม