เวบบอร์ดสำหรับผู้ชื่นชอบระบบการฉายภาพเคลื่อนไหว
Preview ข้อมูลหนังใหม่ที่กำลังจะเข้าโรง,กำลังฉายอยู่และหนังเก่า => Movie Update ข่าวสาร กว่าจะมาเป็นหนังให้เราชม => ข้อความที่เริ่มโดย: rocket man ที่ 09 มิถุนายน 2014, 09:33:43
-
เอะใคร ไหนกัน บอกว่าพอการฉายหนังในรูปแบบดิจิตอลเต็มรูปแบบทุกโรง จะทำให้รายได้หนังไทยดีขึ้น...
http://movie.kapook.com/view90216.html
นพพร อินทรสวัสดิ์ ประธานบริษัท ออมทู เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด ผู้สร้างหนัง ศรีธนญชัย 555+ เครียดจัด หนังเจ๊งไม่เป็นท่า ปีนระเบียงเตรียมกระโดดตึก ญาติช่วยพัลวัน หลังลงทุน 40 ล้านบาท แต่เก็บค่าเข้าชมได้เพียงวันละ 3 หมื่น
เมื่อเวลา 00.30 น. ของวันนี้ (9 มิถุนายน 2557) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ยานนาวา รับแจ้งเหตุมีคนพยายามจะกระโดดตึก เลขที่ 830/42 ตลาดแสงจันทน์ ซอยเจริญกรุง 67 แขวงวัดดอน เขตสาทร จึงนำกำลังรุดไปตรวจสอบ ทั้งนี้ เมื่อไปถึงยังที่เกิดเหตุพบว่าตึกดังกล่าวเป็นอาคารพาณิชย์แบ่งเช่าสูง 6 ชั้น พบ นายนพพร อินทรสวัสดิ์ อายุ 45 ปี ประธานบริษัท ออมทู เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด กำลังจะพยายามกระโดดตึกจากระเบียงชั้น 6 ลงมา ขณะที่ญาติและคนสนิทเข้าเกลี้ยกล่อม โดยใช้เวลาพูดคุยอยู่นาน กว่า นายนพพร จะเปลี่ยนใจ และเมื่อ นายนพพร ลงมาจากระเบียง ก็ได้แต่นั่งร้องไห้ฟูมฟาย
จากการสอบสวน นางพิมพ์ชนา พิมพ์สุระโสภา อาย 46 ปี เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับนายนพพร เพราะนายคฑา พิมพ์สุระโสภา อายุ 18 ปี ลูกชายได้มาเล่นภาพยนตร์ของนายนพพร เรื่อง "ศรีธนญชัย 555 +" โดยรับบทเป็น สามเณรศร ผู้ปราบศรีธนญชัย โดยหนังเรื่องนี้เริ่มถ่ายทำไปเมื่อปลายปี 2556 และเข้าโรงเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยนายนพพรได้ใช้เงินเก็บส่วนตัวและเอาบ้าน ที่ดิน ไปฝากขาย รวมถึงยืมเงินญาติมาร่วมลงทุนกว่า 40 ล้านบาท แต่หลังจากที่หนังเข้าฉายได้ 3 วัน ทางเจ้าของโรงหนังก็ปรับรอบฉายให้เหลือเพียง 2 รอบต่อวัน คือ รอบเช้า 11.00 น. และรอบค่ำ 21.30 น. และให้ฉายได้ในโรงหนังย่านปริมณฑลเท่านั้น ในตัวเมืองไม่มีฉาย ทำให้เงินค่าเข้าชมมีประมาณวันละ 3 หมื่นบาทเท่านั้น และทางโรงหนังก็ได้ถอดหนังเรื่องนี้ออกจากโปรแกรม
นางพิมพ์ชนา กล่าวต่อว่า นายนพพรไม่มีความรู้เรื่องทำหนังมาก่อน แต่มีญาติที่เคยทำหนังแผ่นมาชวนทำเลยตัดสินใจลงทุน จนหมดเงินไปเยอะ พอหนังเข้าฉายรายได้ไม่มากพอ ประกอบกับทางโรงหนังถอดหนังเรื่องนี้ออกจากโปรแกรมอย่างรวดเร็ว ทำให้นายนพพรเครียดจัด ซึ่งก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 8 มิถุนายน 2557 นายนพพรก็จะกระโดดตึก ญาติสนิทต้องช่วยกันเกลี้ยกล่อม ส่วนวันนี้ก็จะกระโดดตึกอีก ตอนนี้ต้องค่อย ๆ พูดให้นายนพพรคลายเครียดและคอยดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้นอีก
อย่างไรก็ดี นางพิมพ์ชนา อยากจะขอวอนโรงหนังให้ช่วยคงหนังเรื่องนี้ไว้ก่อน พร้อมติดโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ และอยากให้หนังได้ฉายหลาย ๆ รอบ เพื่อนายนพพรจะได้มีเงินมาใช้หนี้บ้าง
-
อนาคตสิ่งที่เราเรียกว่าภาพยนตร์ที่เราคุ้นเคยในยุคเรา (ยุคฟิล์มรุ่งเรือง)
อาจเปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง จนเราไม่รู้ว่า จะเรียกว่าภาพยนตร์ได้หรือเปล่า
ตั้งแต่ถ่ายด้วยกล้อง HD Digital ตัดต่อด้วยคอม แก้สีด้วยคอม จนออกมาเป็นไฟล์หนัง
แล้วก็ไปฉายด้วยเครื่องระบบใหม่ ตามโรงหนัง ส่วนตัวผมมองเหมือนละครมากกว่า
สมัยนี้แค่ไฟล์หลุดหนังก็เจ๊งแล้วครับ สงสารคนทําหนังเหมือนกัน สร้างหนังยุคนี้
ฝ่าฟันสารพัดกว่าจะได้กําไร บอกไม่ถูกจริงๆครับ หนังยุคดิจิตอล......................
-
;D ;D ;D
-
http://www.manager.co.th/entertainment/viewnews.aspx?NewsID=9570000034725
"บันเทิง ออนไลน์" สำรวจหนังไทยไตรมาสแรก มากมาย หลากหลาย แต่ห่วยด้วยคุณภาพและต่ำด้วยรายได้ พบ "หมวยจิ้นดิ้นก้องโลก" ทำสถิติใหม่รายได้ต่ำสุดแซง "หล่อลากไส้" ที่ 2.9 หมื่นบาท
อาจจะไม่แรงเท่าที่ใครหลายคนแอบหวังไว้ แต่ก็ต้องบอกว่าไม่ขี้เหร่แต่อย่างใดกับรายได้ล่าสุด 44.66 ล้านบาท ณ วันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมารวม 7 วันนับตั้งแต่การเข้าฉายเมื่อวันที่ 20 มีนาคมของภาพยนต์ไทยเรื่อง "คิดถึงวิทยา" จากค่าย "จีทีเอช" กับการร่วมงานกันของ 2 นักแสดงดัง "พลอย เฌอมาลย์" และ "บี้ สุกฤษฎิ์" ผลงานการกำกับของ "นิธิวัฒน์ ธราธร"
ทั้งนี้เมื่อพิจารณาตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2557 เป็นต้นมาต้องบอกว่ากระแสหนังไทยของบ้านเรานั้นโดยรวมต้องบอกว่าคึกคักทีเดียวหากนับจากจำนวนเรื่องที่เข้าฉายทั้งหมด 15 เรื่องเปรียบเทียบกับปีที่แล้วที่มีหนังเพียง 7 เรื่องเท่านั้นที่เข้าฉายในช่วงเวลาเดียวกัน
ไล่ไปตั้งแต่เดือนมกราคม ประกอบไปด้วย "ร่าง" (9 มกราคม) จากค่าย Golgen A Entertainment / “ตีสาม คืนสาม3D” (16 มกราคม) ค่ายไฟว์สตาร์ / “สี เรียง เซียน โต๊ด” (30 มกราคม) สหมงคลฟิล์มฯ / “Until Now กาลครั้งหนึ่ง...จนวันนี้” (30 มกราคม) ค่าย เดอะ ริเวอร์ แคว บริดจ์ ฟิล์ม
เดือนกุมภาพันธ์ มี "ตายโหง ตายเฮี้ยน" (6 กุมภาพันธ์) ค่ายพระนครฟิล์ม / "Timeline จดหมาย-ความทรงจำ" (13 กุมภาพันธ์) สหมงคลฯ / "พี่ชาย My Bromance" (20 กุมภาพันธ์) ค่ายวายุฟิล์มโปรดักชั่น จำกัด / "รักเราเขย่าขวัญ" (27 กมภาพันธ์) ค่ายกลองชัย ภาพยนตร์ / "Love’s Coming ใช่รักหรือเปล่า" (27 กุมภาพันธ์) ค่ายมั่งมี โปรดักชั่นส์ / "แก๊งปรี๊ดจะREADใจเธอ" (27 กุมภาพันธ์) ค่าย D.O.A. FILM / "หมวยจิ้นดิ้นก้องโลก" (27 กุมภาพันธ์) ค่าย วี ไอ พี เอนเตอร์เทนเมนท์
ขณะที่เดือนมีนาคม มี "เธอเขาเราผี" (13 มีนาคม) ค่ายสหมงคลฯ / "รักฝังเขี้ยว" (13 มีนาคม) ค่ายบริษัท 108 สยามฟิล์ม จำกัด/ "The Cheer Ambassadors" (13 มีนาคม) จาก A Single Production Company และ "คิดถึงวิทยา" (20 มีนาคม) ของจีทีเอช
โดยนอกจากจะมากด้วยปริมาณแล้ว ยังเป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ได้มีผู้สร้างหน้าใหม่รวมถึงหนังที่เป็นทางเลือกให้กับคนดูหนังเฉพาะกลุ่มเกิดขึ้นมาไม่น้อยทีเดียว อาทิ "พี่ชาย My Bromance" จากค่ายวายุฟิล์มโปรดักชั่น จำกัด ที่ทำรายได้รวมถึงวันที่ 19 มีนาคมไปถึง 3.99 ล้านบาท รวมถึงหนังที่พระเอกนักแสดงหนุ่ม "บอล วิทวัส" ลงทุนควักเงินทำกับเพื่อนอย่าง "Love’s Coming ใช่รักหรือเปล่า" ในนาม "มั่งมี โปรดักชั่นส์" ก็ได้รับคำชมไปพอสมควร
นอกจากนี้ก็ยังมีหนังสารคดี "The Cheer Ambassadors" ซึ่งว่าด้วยเรื่องราวครูผู้ฝึกสอนทีมเชียร์ลีดเดอร์ทีมชาติไทยที่เปี่ยมด้วยความฝันและผลักดันจนทำให้ให้นักกีฬาที่ไม่มีใครรู้จักให้กลายเป็นทีมระดับโลกด้วยการคว้าเหรียญรางวัลจากการแข่งขัน World Cheerleading Championships ปี 2009 และ 2011 ผลงานการกำกับของ Luke Cassady-Dorion ที่ไปกวาดรางวัลมาแล้วหลายรางวัล และตัวหนังเองยังมีโปรแกรมการฉายอยู่ในโรงหนังเฮ้าส์ อาร์ซีเออยู่ในตอนนี้ไปจนถึงสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ตาม แม้จะเยอะด้วยปริมาณและความหลากหลาย แต่หากพิจารณากันถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ตลอดจนเรื่องรายได้ของหนังไทยในช่วงไตรมาสแรกโดยรวมเป็นอะไรที่น่าพูดถึงเป็นอย่างยิ่ง
โดยที่อยู่ในระดับที่น่าพอใจนั้น นอกจาก "คิดถึงวิทยา" แล้ว ก็ยังมีหนังอย่าง "Timeline จดหมาย-ความทรงจำ" ทำรายได้จนถึงวันที่ 19 มีนาคม ที่ 50.86, “ตีสาม คืนสาม3D” ของค่ายไฟว์สตาร์ ที่แม้ช่วงเข้าฉายจะมีการชุมนุมทางการเมืองแทบจะทั่วกรุงเทพๆ แต่ก็ยังสามารถเก็บไปได้ถึง 20 กว่าล้านบาทเลยทีเดียว
ส่วนที่อยู่ในข่ายที่น่าผิดหวังนั้นต้องบอกว่าเพียบเลยทีเดียว ทั้ง "ตายโหง ตายเฮี้ยน" ของ "พจน์ อานนท์" ผู้กำกับที่ได้ชื่อว่าการันตีเรื่องการทำหนังไม่ขาดทุน แต่กับเรื่องนี้กลับทำรายได้ไปเพียง 9.4 ล้านบาท หรือจะเป็นหนังของผู้กำกับมือล่ารางวัล "กอล์ฟ ธัญญ์วาริน" อย่าง "เธอ เขา เรา ผี" ที่ทำรายได้เปิดตัววันแรก 0.87 ล้านบาท และทำรายได้รวมจนถึงวันที่ 23 มีนาคม ที่ 7 ล้านบาท
นอกจากนี้ก็ยังมีหนังที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์เสียเละเทะรวมถึงหนังที่หลายคนอาจจะแทบไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่ามีหนังเรื่องนี้เข้าอยู่ในโรงด้วยหรือ และที่สำคัญในไตรมาสแรกของปี 2557 นี้ได้มีหนังไทยที่อยู่ในกลุ่มหนังที่สร้างสถิติรายได้น้อยที่สุดของวงการหนังบ้านเราไปแล้วถึง 2 เรื่องด้วยกัน
เริ่มกันตั้งแต่ "รักฝังเขี้ยว" หนังคอมเมดี้แวมไพร์สไตล์ไทยๆ ที่เปิดตัววันแรกด้วยรายได้ 1.2 หมื่นบาท จากนั้นในหนึ่งสัปดาห์หนังเรื่องนี้ก็ถูกถอดออกจากโรงรวมรายได้ 63,000 บาท อย่างไรก็ตาม "รักฝังเขี้ยว" ก็ยังสามารถทำรายได้มากกว่าภาพยนตร์ไทยเรื่อง "หมวยจิ้นดิ้นก้องโลก" ที่ทำรายได้เพียง 29,000 บาทเท่านั้น และทำให้หนังไทยเรื่องนี้กลายเป็นหนังไทยที่ทำรายได้น้อยที่สุดในรอบหลายสิบปีไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้มีข้อมูลระบุว่าที่ผ่านมาภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้เรื่อง “สมานฉัน” ซึ่งออกฉายในปีพ.ศ. 2553 เคยเป็นหนังไทยที่ทำรายได้ต่ำสุด 60,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ที่พอๆ กับภาพยนตร์เรื่อง “เด็กสาว” และ “เก๋าเกรียน” ในปี 2555 ทำไว้ ก่อนที่หนังทั้งสามจะถูกทำลายสถิติด้วยภาพยนตร์ในปีถัดมาอย่าง "หล่อลากไส้" กับสถิติรายได้ 50,000 บาท และสุดท้ายกับ "หมวยจิ้นดิ้นก้องโลก" ในปีนี้นั่นเอง
...
หมายเหตุ : ตัวเลขรายได้อ้างอิงจาก
GTH channel
Bioscope Magazine
http://content.insidedara.com/movie-chart
สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส
-
ปัญหาหลักๆตอนนี้ก็คงเพราะ สร้างหนังมาแล้วไม่มีโรงฉายเป็นของตัวเอง
ต้องไปฉายโรงคนอื่นพอกระแสไม่แรงทำให้เจ้าของโรงถอดหนังออก หนังเลยไม่ได้ฉาย และก็ขาดทุนในที่สุด
ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่คนนำเข้าหนังหรือสร้างหนัง จะมีโรงฉายเป็นของตัวเอง
อย่างแต่ก่อนเราจะเห็นหนัง เครือไฟสตาร์ เครือนนทนันท์ เครือสหมงคลฟิล์ม เครือเฟซฟิล์ม เครือเอเพ็กษ์
ซึ่งส่วนใหญ่ก็สร้างหนังฉายเองและนำเข้าหนังมาฉายกันเอง ทำให้หนังยืนโรงฉายได้นาน..... ;) ;) ;) ;)
-
อยู่อย่างเดิมน่ะดีแล้ว ถ่ายฟิล์มฉายฟิล์ม โรงไม่ต้องเยอะ
ไงล่ะครับ หนังเรื่องนึง ทํารายได้ 3 หมื่น เกิดมาพึ่งเคยได้ยิน
รายได้ในยุคโรงหนังล้นประเทศ(ดิจิเตอร์)....................
-
เรื่องนี้ถ่ายด้วยกล้อง redcam epic ความละเอียดจัดเต็มที่ 5.0 K ในขณะที่กองละคร ใช้กล้อง ikegami HD cam ความละเอียดแค่ 1K กว่าๆ
ค่าเช่า epic 5.0k อยู่ที่ 30000-40000 ต่อตัวต่อวัน ราคานี้เท่ากับค่าเช่ากล้องโอบี HD cam ถ่ายละครได้ถึง 3หรือ4 ตัวเลยทีเดียว
คุณภาพกล้องถ่ายหนังสูงกว่ามาก ค่าใช้จ่ายจึงสูงกว่า ไม่ว่าจะยุคไหนก็ตาม
แต่ที่เรื่องนี้มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 40 ล้าน ก็เนื่องด้วยความรู้ไม่เท่าทันของผู้สร้าง จึงถูกบรรดาผู้ให้เช่าอุปกรณ์ โก่งราคา หรือถ่วงเวลาทำงาน ให้คิวถ่ายงอกเพิ่มขึ้นมา นั่นหมายถึงงบค่าเช่า และงบค่าตัวที่จะบานออกไปมากกว่าปกติ
ส่วนกรณีที่หนังไม่มีคนดู ก็เพราะงบหมดไปกับงานถ่ายทำและงานโพสท์ตัดต่อแล้ว จึงไม่มีมาใช้จ่ายในการโปรโมท แผ่นผี่ไม่มีผลหรอก ทำออกมาก็ไม่รู้ว่าจะมีคนซื้อมาดูหรือไม่ :o เพราะไม่มีกระแส มันเงียบมากกกกกกก
-
ไม่มีโรงฉาย ก็ลำบาก แค่อาทิตย์เดียว เจอหนังใหญ่ๆ กินหมด
-
การที่จะมีโรงฉายดีดี เยอะๆ นั่นก็ต้องสร้างกระแสทำให้โรงเดือดร้อน จากการต้องการดูของคนดูก่อน จะสร้างกระแสได้ ต้องทุ่มงบโปรโมท 5-10-20 ล้าน พี่มากทุ่มไป 20 ล้านสำหรับการโปรโมท กระแสจึงแรงมากกกกกก โรงหนังเค้ารู้ว่าเรื่องไหนกระแสแรงไม่แรง เค้าจัดเตรียมโรงกับรอบไว้ตามกระแสครับ
-
ฉายนานไป แต่ไม่มีคนดู มีแต่เก้าอี้ดู ก็ต้องเอาหนังออกครับ ฉายไปก็เปลืองไฟ ต่อให้เป็นโรงของผู้สร้างเองก็ต้องเอาออก เปลืองงบสร้างหนังไปแล้ว ยังจะต้องมาเสียค่าไฟอีกเด้งนึง มันจะไปกันใหญ่ 555 :P
-
เบื้องหลังไอ้ศรีฯ
-
เบื้องหลังไอ้ศรีฯ
-
เบื้องหลังไอ้ศรีฯ
-
RED EPIC 5.0
-
ปัญหาหลักๆตอนนี้ก็คงเพราะ สร้างหนังมาแล้วไม่มีโรงฉายเป็นของตัวเอง
ต้องไปฉายโรงคนอื่นพอกระแสไม่แรงทำให้เจ้าของโรงถอดหนังออก หนังเลยไม่ได้ฉาย และก็ขาดทุนในที่สุด
ไม่เหมือนสมัยก่อน ที่คนนำเข้าหนังหรือสร้างหนัง จะมีโรงฉายเป็นของตัวเอง
อย่างแต่ก่อนเราจะเห็นหนัง เครือไฟสตาร์ เครือนนทนันท์ เครือสหมงคลฟิล์ม เครือเฟซฟิล์ม เครือเอเพ็กษ์
ซึ่งส่วนใหญ่ก็สร้างหนังฉายเองและนำเข้าหนังมาฉายกันเอง ทำให้หนังยืนโรงฉายได้นาน..... ;) ;) ;) ;)
ฉายนานไป แต่ไม่มีคนดู มีแต่เก้าอี้ดู ก็ต้องเอาหนังออกครับ ฉายไปก็เปลืองไฟ ต่อให้เป็นโรงของผู้สร้างเองก็ต้องเอาออก เปลืองงบสร้างหนังไปแล้ว ยังจะต้องมาเสียค่าไฟอีกเด้งนึง มันจะไปกันใหญ่ 555 :P
อย่างน้อยๆหากเป็นหนังของเจ้าของโรงเองคงไม่ถอดเร็วปานนี้.........
หากเป็นเยี่ยงนี้แล้ว ...ชะตากรรมหนังเรื่องอื่นก็คงรอเป็นเยี่ยงนี้เป็นแม่นมั่นล่ะเกลอเอ๋ย
....เตรียมตัวเจ๊งเถอะ
-
ก็หนังเค้าไม่มีงบโปรโมทเพื่อสร้างกระแสไงครับ คนก็ไม่รู้จัก โรงหนังทำเลดีดีก็ไม่ให้เข้าฉาย ที่ผ่านมา มีหนังแย่กว่าไอ้ศรีเยอะ แต่มีงบโปรโมท ก็พอที่จะมีคนดูบ้าง ได้ 30-40 ล้านไป ทั้งที่ลงทุนรวมโปรโมทไม่ถึง 15 ล้าน รอบนึงดูกัน 30-50 คน ก็ยังพอจะยืนโรงได้ ไม่ใช่ดูกันรอบละ 2-3 คนแบบไอ้ศรี ???
-
แต่ผู้สร้างทั้งหมดที่มีโรงหนังเอง รวยครับ จะมีงบโปรโมทแน่นอน มีคนดูใน 2 วันแรกแน่นอน ส่วนใหญ่ที่ไม่มีเงินโปรโมท จะเป็นผู้สร้างรายย่อยทุนตัวเอง มือใหม่ไร้ประสบการณ์ ถ้าไอ้ศรีงบ 40 ล้าน มาอยู่ในมือของพี่อังเคิลคุมงานสร้าง รับรอง หมดค่าผลิตไปแค่ 20 ล้าน เหลือโปรโมทอีก 20 ล้าน :)
-
ทำหนัง ต้องใจเย็นๆ รีบร้อนเร็วไป จะเป็นอย่างไอ้ศรี ;) บางเรื่อง ใช้เวลานับ 10 ปีในการเตรียมการ อย่างผู้บ่าวไทบ้าน ใช้เวลา 3-4 ปี กว่าจะถ่าย
-
พี่มาก ถ่ายด้วยกล้อง ARRI ALEXA 4K ฉายด้วยฟิล์ม และดิจิตอล ไฟล์ที่หลุดมาเป็นแบบซูมจอโรง ก็ไม่มีผลกับยอดรายได้หนังเท่าไหร่ หนังยังคงเก็บรายได้ใน กทม ไปถึง 500 กว่าล้าน ส่วนสายหนัง ตจว. ทั่วประเทศเก็บไปได้ 400 กว่าล้าน คุ้มค่ากับงบโปรโมท 20 ล้านบาทเลยทีเดียว