กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10
21
      เจียวเจียว (Lisa Chiao Chiao) 焦姣 ดาราระดับนางเอก เคยรับบทเป็น "เสี่ยวหมาน" คนรักไอ้ด้วน "ฟางกัง" และแสดงคู่กับพระเอกดัง หวังอยู่ หลายเรื่องอยู่, นอกจากนี้ยังรับบทเด่นเป็นนางโจรลึกลับ ออกเที่ยวปล้นคนรวยช่วยคนจน ประกบคู่กับเยี๊ยะหัว ใน "นางพญาผีเสื้อดำ" (Black Butterfly) 女俠黑蝴蝶 ปี 1968 ผลงานโดยยอดผู้กำกับเงินล้านของชอว์ฯ หลอเว่ย

      ผลงานอื่นๆ จะมี อย่าอยู่ร่วมโลกกันเลย-ที่รัก, 12 ป้ายทอง, ดับเดชไอ้ขันที, เดชนางโจรขายหัว และคมพยัคฆ์นางพญา
ปัจจุบันเธออายุ 80 ปี และเป็นภรรยาของดาราที่ล่วงลับ เจิ้งเจียง (มารบูรพา อึ้งเอี๊ยะซือ 1983)


***เอื้อเฟื้อภาพ คุณ chaocahao puttarak

22
        ท่านได้เคยดูหนังดาบกำลังกายใน ที่สร้างจากบทประพันธ์ของโกวเล้ง อันลือลั่นมามากต่อมากแล้ว และทุกเรื่องได้ให้ความดุเดือด เผ็ดมันแก่ท่านอย่างถึงอกถึงใจ แต่ ณ บัดนี้ “ถล่ม 13 เจ้าอินทรี” (The Avenging Eagle) 冷血十三鷹 ซึ่งประพันธ์โดย ฉินหง 秦红 จะให้ความตื่นเต้น ดุเดือดที่ยิ่งกว่า




Original trailer


The Avenging Eagle (1978) original trailer

        จากสถิติที่ชอว์ บราเดอร์ ได้เปิดมิดไนท์พร้อมกันถึง 13 โรง ที่ฮ่องกง และสามารถกวาดเงินชาวฮ่องกงไปแล้ว เป็นจำนวนนับหลายล้านเหรียญฮ่องกง ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลย

        ฉะนั้นหนังดีจึงไม่จำเป็นต้องประชาสัมพันธ์มาก  ท่านผู้ชมที่ได้ชมไปแล้วในรอบมิดไนท์ที่ ยูเนียน โอเดียน ได้เปิดฉายพร้อมกันหลายโรงเมื่อวันเสาร์ที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านไป จะเป็นหลักประกันได้อย่างยอดเยี่ยมที่สุด


        “ถล่ม 13 เจ้าอินทรี” เนื้อเรื่องมีอยู่ว่า ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุนั้น “อินทรีดำ” ชื่อ ชีหมิงซิง (นำแสดงโดย ตี้หลุง) เป็น 1 ในจำนวน 13 อินทรีแห่งตระกูลเสื้อเหล็ก ได้ทุรนทุรายหลบหนีมาเป็นระยะทางอันไกลแสนไกล จนมิอาจที่จะประคองสติตัวเองได้ต่อไปอีกแล้ว ถึงกับหมดสติอยู่บนเขาร้างลูกนั้น ทันใดนั้น บังเอิญมีนักดาบหนุ่มอีกผู้หนึ่ง (นำแสดงโดย ฟู่เชิง) ได้ขี่ม้าผ่านมา จึงได้ทำการช่วยเหลือเอาไว้ และแล้วทั้งสองก็ได้ไปพักผ่อน ยังบ้านร้างหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ นั้น


        เวลาผ่านไปไม่นานนัก ก็มีชายอีก 3 คน ขี่ม้ามาด้วยความรีบร้อน และเขาทั้ง 3 ก็ได้ ล้อมบ้านร้างหลังนี้ไว้ ชีหมิงซิ่ง จึงจำเป็นต้องรวบรวมสติ และพลกำลังของตนเองที่พอจะหลงเหลืออยู่บ้าง ขึ้นทำการต่อสู้กับมันทั้ง 3 อย่างสุดฤทธิ์พร้อมกันนั้น ซีหมิงซิ่งก็ได้รับการช่วยเหลือจากนักดาบหนุ่ม ผู้ที่ช่วยเหลือตนเมื่อสักครู่อีกด้วย ในที่สุดเขาทั้ง 2 ก็ได้สังหารผู้ที่ล้อมบ้านทั้ง 3 คนตายจนหมดเกลี้ยง ซึ่งความจริงแล้วทั้ง 3 คนที่ถูกสังหาร นั้นเป็นพวกที่ตามมาเพื่อล่าสังหาร ซีหมิงซิ่งนั่นเอง ซึ่งเขาทั้ง 3 นั้นก็คือ 3 ในจำ นวน 13 อินทรีที่มีชื่อว่า อินทรีเขียว ชื่อจริง คิ้ว กวนสง อินทรีหน้าคมชื่อ ฟังฮุย และอินทรีตาเดียวชื่อ หวีเถิง

        ชีหมิงซิ่ง มีความประหลาดใจต่อนักดาบหนุ่ม ที่ยอมช่วยเหลือตนทั้งๆ ที่ยังไม่รู้จักกันมาก่อนเลย เขาจึงได้ถามไถ่นักดาบหนุ่มผู้นั้น ว่าเป็นใครกัน แต่นักดาบหนุ่มผู้นั้นมิยอมปริปากเอ่ยชื่อตนเองออกมาเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ตอบว่าตัวเองนั้นชื่อไอ้พเนจร และไอ้พเนจรก็กลับย้อนถามชีหมิงซิ่ง ว่าเพราะเหตุใดจึงได้ถูกตามล่าสังหาร ชิหมิงซิ่งจึงได้พูดถึงสาเหตุ และความเกี่ยวพันของตนเอง ที่มีกับตระกูลเสื้อเหล็กนั้น


        ตระกูลเสื้อเหล็กเป็นองค์การมืด ในวงการยุทธจักรในตอนนั้น และก็เป็นองค์กรที่ไม่มีความชั่วอันใดเลยที่จะไม่ทำ การที่ไม่มีความชั่วอันใดเลยที่จะไม่ทำ หัวหน้าตระกูลชื่อ เว่ซีหง (นำแสดงโดย กุ๊ฟง) ในปีนั้นดูได้ทำการคัดเลือกเด็กกำพร้าไว้จำนวนหนึ่งเป็นพิเศษ และแล้วก็ทำการฝึกฝนวิทยายุทธให้ ซึ่งไม่เพียงแต่และสอนแค่วิทยายุทธเท่านั้น หากแต่ยังได้อบรมบ่มสันดานทุกๆ คนให้มีจิตใจอำมหิตสามารถฆ่าคนได้ในชั่วพริบตา และก็ให้เชื่อฟัง และปฏิบัติตามในคำสั่งของตนด้วย จนกระทั่งเด็กกำพร้าได้เติบโตขึ้น เว่ซีหงก็ได้ทำการคัดเลือกใหม่อีก ครั้ง เอาไอ้ที่มีวิทยายุทธเก่งที่สุด และเชื่อฟังเขาที่สุดออกมาเป็นจำนวน 13 คน และซีหมิงซิ่ง ก็เป็นหนึ่งในจำนวน 14 คน และ และอาวุโสเป็นอันดับที่ 9 ใช้ชื่อว่าอินทรีดำ


        และต่อมาในภายหลัง เว่ซีหงได้บงการให้ทั้ง 13 อินทรีไปปล้นชิงเงิน ที่ถูกคุ้มกันโดยนักวิทยายุทธที่เก่งกล้าเป็นจำนวนมากมายกลุ่มหนึ่ง จากการปฏิบัติการในครั้งนั้น ซีหมิงซิ่ง (อินทรีดำ) ได้รับบาดเจ็บสาหัส และหลบหนีด้วยความผิดหวัง ขณะที่หลบหนีนั้น ก็ได้รับการช่วยเหลือจากพี่ชาย น้องสาวคู่หนึ่ง ชื่อ หวังหวังอัน (พี่) และหวัง เสียวเพิ่ง (น้อง) เขาทั้ง 3 ได้นำอินทรีดำไปพัก ผ่อนรักษาตัวที่บ้านของตนเอง จึงเป็นสาเหตุ ทำให้อินทรีดำได้เกิดรักใคร่ชอบพอกับ หวัง เสี่ยวเพิ่ง และแล้วหลังจากที่อินทรีดำได้กลับสู่ถิ่นตระกูลเสื้อเหล็ก

        เว่ซีหงก็ได้ออกคำสั่งบงการให้อินทรีดำ พร้อมตัวยอีก 3 อินทรี ไปสังหาร ตระกูลหวัง เนื่องจากตระกูลหวังเป็น 1 ใน 4 ตระกูลที่โด่งดังในยุทธจักร เว่ซีหง รีบด่วนที่จะปราบกำจัดทิ้งเสีย เพื่อที่ตนเองจะได้สบายในวันหลัง

        เมื่อเหตุการณ์เป็นไปเช่นนั้น อินทรีดำจะทำอย่างไร ในเมื่อบุคคลที่ตนได้รับคำสั่งให้ไปฆ่านั้น เป็นบุคคลที่มีบุญคุณต่อตนเองอย่างใหญ่หลวง และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยังเป็นคนรักของตนเองอีกด้วย เรื่องราวต่อไปจะตื่นเต้นเร้าใจเพียงใด จะสลับซับซ้อนแต่ไหน จะแก้ใขสถานะการณ์ด้วยวิธีการอันใด เชิญท่านไปช่วย ตักแบ่งความตื่นเต้น ช่วยกันแก้ความซับซ้อน ในสถานะการณ์ได้ที่โรงภาพยนตร์ ในเครือยูเนียนโอเดียน ได้ทุกโรงเลยครับ


อินทรีย์ดำชีหมิงซิง (Black Eagle Chik Ming-sing) แสดงโดย ตี้หลุง (Ti Lung) อายุ 32 ปี


ดาบคู่สังหารจั๋วอี้ฝาน (Double Sleeve Knives Cheuk Yi-fan) แสดงโดย ฟู่เซิง (Alexander Fu) อายุ 24 ปี (เสียชีวิตเมื่ออายุ 28 ปี)


เย่ซีหง (Yoh Xi-hung) แสดงโดย กุ๊ฟง (Ku Feng) อายุ 48 ปี


อินทรีย์หัวโล้นเยี่ยนหลิน (Vulture Eagle Yien Lin) แสดงโดย หวังหลงเว่ย (Wang Lung-wei) อายุ 31 ปี


เสี่ยวฟ่ง (Siu Fung) แสดงโดย ซือซือ (Shih Szu) อายุ 25 ปี
=============================
*** "ถล่ม 13 เจ้าอินทรี" ลงโปรแกรมเข้าฉายเมืองไทย 1 ธันวาคม 2521(1978)
***บทความตีพิมพ์ใน นิตยสารโลกดารา ปีที่ 9 ฉบับที่ 207 เดือนพฤศจิกายน 2521(1978)



23
       หากพูดถึงไอดอลหญิงของญี่ปุ่นยุคปลาย 90 ชื่อของ เคียวโกะ ฟูคาดะ (Kyoko Fukada) คงติดอันดับต้น ๆ ในใจแฟน ๆ ทั่วเอเชีย ด้วยใบหน้าหวานใสบริสุทธิ์ เสียงพูดที่นุ่มนวล และแววตาที่เหมือนหลุดออกมาจากมังงะ แต่กว่าที่เราจะได้เห็นเธอบนหน้าจอใน “อยู่เพื่อรัก” (1998) หรือหนังดังอีกมากมาย เคียวโกะเคยเป็นแค่ “เด็กสาวธรรมดา” คนหนึ่งในโตเกียว ที่มีฝันอยู่ในใจ


ชีวิตในวัยเด็ก: โตมาอย่างเรียบง่ายในโตเกียว

 • เคียวโกะเกิดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 1982 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
 • ครอบครัวของเธอไม่ใช่ครอบครัวดาราหรือคนมีเส้นสายในวงการบันเทิงเลย
 • เธอเป็นเด็กเรียบร้อย ขี้อาย และชอบอ่านการ์ตูนกับดูละครทีวีเป็นชีวิตจิตใจ โดยเฉพาะละครที่มีตัวละครหญิงเข้มแข็งและกล้าฝัน

       แม้เธอจะไม่ได้คิดจะเป็น “ซูเปอร์สตาร์” แต่ในใจลึก ๆ ก็เคยฝันว่า อยากจะเป็นคนที่ใครสักคนมองเห็น

จุดเปลี่ยน: การสมัครออดิชัน “Horipro Scout Caravan”

       ในปี 1996 เมื่อเคียวโกะอายุเพียง 13 ปี เธอได้เห็นประกาศรับสมัครการประกวดชื่อดังของญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า Horipro Scout Caravan (ホリプロスカウトキャラバン)
ซึ่งเป็นรายการออดิชันค้นหาดาราหน้าใหม่ของบริษัท Horipro (ต้นสังกัดดาราระดับแนวหน้าอย่าง Ueto Aya, Haruka Ayase ฯลฯ) แม้จะลังเลและไม่มั่นใจ แต่ด้วยแรงยุจากครอบครัวและเพื่อนสนิท เคียวโกะจึงตัดสินใจสมัครเข้าแข่งขันในปีนั้น โดยใช้ชื่อเล่นว่า “Fukakyon” ซึ่งกลายมาเป็นชื่อเล่นติดตัวของเธอมาจนถึงทุกวันนี้

พลิกชีวิตทันที: การชนะเลิศจากเด็กธรรมดาสู่ดาวรุ่ง
 • ในการประกวดปีนั้น (ปีที่ 21) เคียวโกะสามารถ คว้ารางวัลชนะเลิศ Grand Prix ไปได้ในวัยเพียง 13 ปี จากผู้สมัครกว่าหมื่นคนทั่วประเทศ
 • ความสดใส ใบหน้าเรียบร้อยแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม และรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติของเธอ ทำให้กรรมการและสื่อมวลชนตกหลุมรักทันที
 “เธอเหมือนตัวละครจากมังงะ ที่มีชีวิตจริงอยู่ตรงหน้า” — คำบรรยายในนิตยสารญี่ปุ่นหลายฉบับในขณะนั้น
 ก้าวแรกในวงการ: จากโฆษณา สู่หน้าจอโทรทัศน์
 • หลังคว้าชัย เธอเริ่มต้นจากงานโฆษณา, ถ่ายแบบในนิตยสารไอดอลอย่าง Young Jump และ Non-no
 • ภาพลักษณ์ของเธอถูกวางเป็น “ไอดอลบริสุทธิ์” (清純派アイドル) ซึ่งโดนใจแฟน ๆ ญี่ปุ่นยุคนั้นอย่างมาก
 • เธอเริ่มมีผลงานละครรอง เช่น Five และ Kaiki Club ก่อนที่จะได้รับบทนำครั้งแรกในละครที่เปลี่ยนชีวิตเธอไปตลอดกาล…
ปี 1998: “อยู่เพื่อรัก” และการแจ้งเกิดอย่างสมบูรณ์

       ละคร “อยู่เพื่อรัก” (Kamisama, mō Sukoshi Dake) ไม่ใช่แค่การเปิดตัวของเคียวโกะในบทนำ แต่มันคือผลงานที่ทำให้คนทั้งญี่ปุ่นและเอเชีย จดจำเธอได้ในฐานะนักแสดงตัวจริง
เธอรับบท “คานะ” เด็กสาวมัธยมที่ติดเชื้อ HIV ซึ่งเป็นบทที่ท้าทายมากในวัยเพียง 15 ปี และเธอก็ทำให้คนทั้งประเทศร้องไห้ไปกับบทนี้ “จากเด็กหญิงธรรมดา สู่ดาราหญิงที่ใคร ๆ ก็รัก”
เคียวโกะ ฟูคาดะ ไม่ใช่ดาราที่มีเส้นทางลัด เธอไม่ได้เกิดในครอบครัวนักแสดง ไม่ได้มีชื่อเสียงติดตัวมาแต่เกิด
แต่ด้วยความตั้งใจ ความสดใส และการกล้าก้าวออกจากกรอบของตัวเองตั้งแต่เด็ก เธอจึงพิสูจน์ให้เห็นว่า
 “แม้จะเริ่มจากศูนย์ ก็สามารถเป็นคนที่เปล่งประกายที่สุดได้ ถ้ากล้าฝันและลงมือ”
ใครที่กำลังยอมเเพ้หรือท้อเเท้อยู่ก็ขอเป็นกำลังใจให้นะคับ
24
Cameron Diaz in The Mask (1994): จุดเริ่มต้นของดาวรุ่งฮอลลีวูด


         ในปี 1994 โลกได้รู้จักกับหนึ่งในนักแสดงหญิงที่กลายเป็นขวัญใจผู้ชมอย่างรวดเร็ว นั่นคือ Cameron Diaz ผู้รับบท Tina Carlyle ในภาพยนตร์แอ็กชันคอมเมดี้สุดแฟนตาซี The Mask ผลงานแจ้งเกิดที่พาเธอจากนางแบบโนเนมสู่ดาวเด่นแห่งฮอลลีวูดอย่างไม่คาดฝัน

Tina Carlyle: สาวสวยปริศนาผู้ขโมยหัวใจทั้งจอ

         บทของ Tina Carlyle เป็นหญิงสาวสวยสะกดใจผู้เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวละครเอก Stanley Ipkiss (รับบทโดย Jim Carrey) เธอคือแฟนสาวของมาเฟียผู้โหดเหี้ยม แต่กลับแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน และค่อยๆ เปิดเผยหัวใจที่แท้จริงเมื่อได้รู้จักกับ “The Mask” คาแรกเตอร์สุดป่วนจากหน้ากากเวทมนตร์
Tina ไม่ได้เป็นแค่ “ตัวประกอบ” สวยๆ แต่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่อง เธอคือแรงขับเคลื่อนให้ Stanley กล้าเปลี่ยนแปลงตัวเอง และเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเขาแม้ยามไม่มีหน้ากาก—นั่นคือความหมายลึกๆ ของความรักและการยอมรับในสิ่งที่เราเป็น

Cameron Diaz: จากนางแบบสู่ดารานำในหนังเปิดตัว

         ในตอนนั้น Cameron Diaz ไม่เคยมีประสบการณ์การแสดงเลยแม้แต่นิดเดียว เธอเป็นนางแบบที่เข้ามาทดสอบหน้ากล้องแบบ “เล่นๆ” เพราะทางโปรดิวเซอร์อยากหาหน้าใหม่ แต่ความมีเสน่ห์ ความมั่นใจ และรอยยิ้มอันตราตรึงกลับทำให้เธอได้บทนี้มาอย่างเหนือความคาดหมาย

         ในเรื่องนี้ Diaz มีทั้งเสน่ห์แบบเฟมแฟตัล (femme fatale) และความเปราะบางที่ชวนให้ผู้ชมตกหลุมรักทันทีที่เธอปรากฏตัวบนจอ โดยเฉพาะฉากเปิดตัวในคลับ Coco Bongo ที่เธอสวมเดรสแดงและร้องเพลงบนเวที—เป็นหนึ่งในฉากเปิดตัวนักแสดงหญิงที่เป็นตำนานที่สุดของยุค 90

เคมีสุดเป๊ะกับ Jim Carrey

         แม้ The Mask จะเป็นโชว์ของ Jim Carrey อย่างแท้จริง แต่การที่ Cameron Diaz รับบทนำหญิงได้อย่างไม่ถูกกลบ—กลับเสริมพลังให้หนังพุ่งทะยานยิ่งขึ้น ความเข้าขากันระหว่างเธอกับ Carrey ไม่ได้มีแค่ความโรแมนติก แต่ยังเต็มไปด้วยไดนามิกของสองบุคลิกที่แตกต่างสุดขั้ว ซึ่งยิ่งทำให้เรื่องราวมีพลังมากขึ้น
เส้นทางหลังจากนั้น

         หลัง The Mask ประสบความสำเร็จถล่มทลาย (รายได้ทั่วโลกกว่า $350 ล้านจากทุนสร้างแค่ $18 ล้าน) Cameron Diaz ก็กลายเป็นที่จับตามองของวงการ เธอได้แสดงใน My Best Friend’s Wedding (1997), There’s Something About Mary (1998), Charlie’s Angels (2000) และ Shrek (2001) ที่เธอพากย์เสียงเจ้าหญิง Fiona—แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแสดงที่ครอบคลุมทุกแนว ตั้งแต่คอมเมดี้ ดราม่า ไปจนถึงแอนิเมชัน

         การเปิดตัวของ Cameron Diaz ใน The Mask คือหนึ่งในการเดบิวต์ที่ทรงพลังและน่าจดจำที่สุดในประวัติศาสตร์ฮอลลีวูด ไม่เพียงเพราะเธอสวยสะกดสายตา แต่เพราะเธานำเสนอคาแรกเตอร์ที่มีทั้งความเปราะบางและพลังแบบผู้หญิงยุคใหม่

         ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี ฉากเปิดตัวของ Tina Carlyle ยังคงติดตรึงในความทรงจำของแฟนหนังยุค 90 และชื่อของ Cameron Diaz ก็จะยังคงถูกจดจำในฐานะ “ดาวดวงใหม่ที่เปล่งแสงทันทีที่ปรากฏตัว” บนจอภาพยนตร์ในปีนั้น.
25

“Die Hard” นรกระฟ้า (1988): หนังแอ็กชันระดับตำนานที่เปลี่ยนนิยาม ‘ฮีโร่’ ตลอดกาล

       ก่อนปี 1988 โลกของหนังแอ็กชันเต็มไปด้วยพระเอกกล้ามโต ไร้เทียมทานแบบ Rambo หรือ Commando แต่แล้ว Die Hard ก็โผล่ขึ้นมา พร้อมกับพระเอกที่ “เหมือนคนธรรมดา” อย่าง John McClane ตำรวจนิวยอร์กขาลุย รับบทโดย Bruce Willis ที่กลายเป็นหนึ่งในตัวละครฮีโร่ที่แฟนหนังรักมากที่สุดในประวัติศาสตร์

       คืนคริสต์มาสอีฟ McClane เดินทางไปยังตึก Nakatomi Plaza ที่ลอสแอนเจลิส เพื่อเซอร์ไพรส์ภรรยาเก่า แต่กลับต้องเจอกลุ่มผู้ก่อการร้าย นำโดย Hans Gruber (รับบทโดย Alan Rickman) ที่บุกยึดตึกพร้อมตัวประกัน McClane จึงกลายเป็น “คนเดียว” ที่ต้องจัดการทุกอย่างด้วยมือเปล่า ปืน และความกล้าบ้า ๆ
ทำไม Die Hard ถึงกลายเป็นตำนาน?

 • John McClane ไม่ใช่ฮีโร่ซูเปอร์แมน
    เขาเหนื่อย เขาเจ็บ เขาลื่นล้ม เขาเปลือยเท้าวิ่งบนกระจก แต่ยังสู้เพราะ “ไม่มีใครทำได้ นอกจากเขา”
ฮีโร่ที่ “เจ็บเป็น” ทำให้คนดูอินและเอาใจช่วยสุดหัวใจ

 • บทสนทนาคลาสสิก
    “Yippee-ki-yay, motherf***er!” กลายเป็นหนึ่งในประโยคที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในโลกหนังแอ็กชัน
 • Hans Gruber = วายร้ายระดับตำนาน
    Alan Rickman เดบิวต์บนจอใหญ่ด้วยบทผู้ร้ายสุดคูล ฉลาด เยือกเย็น มีเสน่ห์ ทำให้ตัวละครนี้ติดอันดับวายร้ายที่ดีที่สุดตลอดกาล
 • สูตรสำเร็จของหนัง ‘คนเดียวลุยทั้งตึก’


       หนังเรื่องนี้วางรากฐานให้หนังแอ็กชันยุค 90 และหลังจากนั้นหลายเรื่อง (รวมถึง Speed, Under Siege, The Raid) ยืมสูตรนี้ไปใช้
เกียรติยศ & ความสำคัญ
 • เข้าชิง Oscar ถึง 4 สาขา (รวม Best Sound และ Best Film Editing)
 • ถูกบันทึกใน National Film Registry ของสหรัฐฯ ให้เป็นหนึ่งในหนังที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม
 • กลายเป็นประเด็นถกเถียงตลอดกาลว่า “Die Hard คือหนังคริสต์มาสหรือไม่?” (หลายคนบอกใช่!)

       “Die Hard” ไม่ได้เป็นแค่หนังแอ็กชันธรรมดา แต่มันคือปรากฏการณ์ที่สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับแนวนี้ และยังคงได้รับความนิยมแบบข้ามยุคข้ามสมัยจนครบรอบหลายสิบปีก็ยังดูสนุกเหมือนเดิม
26

        เคต เบคคินเซล (Kate Beckinsale) เป็นนักแสดงหญิงชาวอังกฤษผู้มากความสามารถ โดดเด่นด้วยบทบาทที่หลากหลายทั้งในภาพยนตร์และโทรทัศน์ รวมถึงเสน่ห์ที่สะกดสายตาบนจออย่างไม่อาจปฏิเสธได้ เธอเกิดที่กรุงลอนดอน และเริ่มต้นเส้นทางการแสดงตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยได้รับการจับตามองจากผลงานในภาพยนตร์อย่าง Much Ado About Nothing และ Pearl Harbor

        อย่างไรก็ตาม ชื่อของเคตกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างอย่างแท้จริงจากบทนำในภาพยนตร์ชุด Underworld ซึ่งเธอรับบทเป็น “เซลีน” นักรบแวมไพร์ผู้ดุดันและซับซ้อน พร้อมโชว์ฝีมือด้านแอ็กชันที่แข็งแกร่ง นอกเหนือจากบทบาทแอ็กชัน เคตยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถรอบด้านในภาพยนตร์แนวโรแมนติกคอเมดี้และดราม่า อาทิ Snow Angels และ Love & Friendship ซึ่งได้รับคำชื่นชมอย่างมาก

        นอกจากนี้ เคตยังมีความหลงใหลในเรื่องสวัสดิภาพสัตว์ และมักใช้เสียงของเธอเพื่อสนับสนุนกิจกรรมการกุศลต่างๆ ด้วยความสามารถอันน่าหลงใหลและความมุ่งมั่นในการเลือกบทบาทที่มีความหมาย เคต เบคคินเซล ยังคงเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของวงการภาพยนตร์ที่สามารถสะกดใจผู้ชมทั่วโลกได้อย่างต่อเนื่อง
27

ภาพยนตร์ The Mummy (1999) 2ตัวละครหลักฝ่ายอียิปต์โบราณที่โดดเด่น ได้แก่ Imhotep และ Anck-su-namun ซึ่งรับบทโดยนักแสดงดังนี้:

รับบทโดย: Arnold Vosloo
 • นักแสดงชาวแอฟริกาใต้
 • สวมบทบาท Imhotep ปุโรหิตผู้ทรงอำนาจในยุคฟาโรห์ ซึ่งถูกลงโทษฝังทั้งเป็นเพราะลอบรักกับหญิงของฟาโรห์
 • เขากลับฟื้นคืนชีพในยุคปัจจุบัน และนำพาคำสาปโบราณมาสู่โลก

รับบทโดย: Patricia Velásquez
 • นักแสดงและนางแบบชาวเวเนซุเอลา
 • รับบท Anck-su-namun ชู้รักของ Imhotep และนางสนมของฟาโรห์ Seti I
 • เธอคือแรงขับเบื้องหลังการกระทำของ Imhotep — ความรักต้องห้ามที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด

       ทั้ง Arnold Vosloo และ Patricia Velásquez ต่างถ่ายทอดบทของตัวเองได้อย่างทรงพลังและน่าจดจำ ทำให้ความรัก ความแค้น และความลึกลับของอียิปต์โบราณใน The Mummy กลายเป็นภาพยนตร์ที่แฟน ๆ ยังคงหลงใหลแม้ผ่านไปกว่า 25 ปีแล้วครับ. ถือเป็นอีกหนึ่งหนังในตำนานทีาเปิดดูเมื่อไหร่ก็สนุกทุกครั้งที่ได้รับชมเลย

28
สามพี่น้องตระกูล Olsen: Elizabeth Olsen กับพี่สาวฝาแฝดในเงาแห่งความโด่งดัง


      ในโลกฮอลลีวูด มีนามสกุล “Olsen” เพียงไม่กี่คนที่ไม่รู้จัก โดยเฉพาะเมื่อพูดถึง Mary-Kate และ Ashley Olsen ฝาแฝดอดีตดาราเด็กระดับตำนานของอเมริกา แต่ท่ามกลางแสงไฟสปอร์ตไลต์นั้น มีอีกหนึ่งคนที่เติบโตมาอย่างเงียบ ๆ แล้วค่อย ๆ ก้าวขึ้นมาโดดเด่นในแบบของตัวเอง — Elizabeth Olsen

จุดเริ่มต้นของตระกูล Olsen

 • Mary-Kate และ Ashley Olsen เกิดเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 1986 เป็นฝาแฝดที่เริ่มเข้าวงการตั้งแต่อายุเพียง 9 เดือน ในซีรีส์ซิทคอมสุดฮิต Full House (1987–1995) โดยทั้งสองผลัดกันรับบท Michelle Tanner
 • ด้วยภาพลักษณ์น่ารักและพรสวรรค์ตั้งแต่วัยเยาว์ ทั้งคู่กลายเป็นขวัญใจคนอเมริกัน และในช่วงยุค 90 พวกเธอมีอาณาจักรธุรกิจสื่อและของเล่นที่ใหญ่โตมาก พูดได้ว่าเป็น “ราชินีฝาแฝดแห่งยุค”

Elizabeth Olsen: ผู้อยู่ในเงาของพี่สาว

 • Elizabeth เกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 1989 เป็นน้องสาวคนเล็กในบรรดาพี่น้องทั้งหมด
 • เธอเติบโตขึ้นมาโดยมองดูพี่สาวฝาแฝดที่โด่งดังไปทั่วโลกตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เธอใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง และไม่อยาก “อาศัยชื่อเสียงของครอบครัว” เพื่อเข้าสู่วงการ
 “ฉันเคยคิดจะเปลี่ยนนามสกุลเพื่อไม่ให้คนรู้ว่าฉันเป็นน้องสาวของ Mary-Kate และ Ashley” — Elizabeth ให้สัมภาษณ์กับ Glamour UK

เส้นทางการแสดงที่มาด้วยความพยายาม

 • Elizabeth เริ่มต้นเส้นทางการแสดงจริงจังในช่วงปี 2011 โดย ไม่อาศัยชื่อเสียงของพี่ ๆ เลย
 • ผลงานแจ้งเกิดของเธอคือเรื่อง Martha Marcy May Marlene (2011) ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ และทำให้เธอถูกจับตามองในฐานะนักแสดงหญิงรุ่นใหม่
 • เธอศึกษาและฝึกฝนด้านการแสดงอย่างเข้มข้น โดยเรียนการแสดงจาก NYU Tisch School of the Arts และไปเรียนต่อที่ Moscow Art Theatre School ในรัสเซีย

การก้าวสู่ระดับโลก: Wanda Maximoff / Scarlet Witch

 • จุดเปลี่ยนสำคัญคือบท Wanda Maximoff หรือ Scarlet Witch ในจักรวาล Marvel โดยปรากฏตัวครั้งแรกใน Avengers: Age of Ultron (2015)
 • เธอค่อย ๆ กลายเป็นหนึ่งในตัวละครที่แฟน ๆ รักมากที่สุด จนมีซีรีส์เดี่ยว WandaVision (2021) บน Disney+ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามทั้งในแง่ของคำวิจารณ์และรางวัล
 • บทบาทนี้แสดงให้เห็นถึงพลังการแสดงของ Elizabeth ที่ทั้งลึกซึ้ง ซับซ้อน และเต็มไปด้วยอารมณ์

พี่น้องที่แยกเส้นทาง แต่ยังรักกันเสมอ

 • แม้ Elizabeth จะประสบความสำเร็จในฮอลลีวูด ขณะที่ Mary-Kate และ Ashley เลือกวางมือจากงานแสดงและไปทำแบรนด์แฟชั่นสุดหรู The Row และ Elizabeth and James (ตั้งชื่อตาม Elizabeth และพี่ชายคนกลาง James) แต่ทั้งสามคนก็ยังสนิทกันมาก
 • พวกเธอไม่ค่อยปรากฏตัวพร้อมกันบ่อย ๆ แต่ตามเบื้องหลัง Elizabeth มักกล่าวเสมอว่าเธอได้รับแรงสนับสนุนจากพี่สาวทั้งสองในทุกย่างก้าว
 “พวกเขาให้คำแนะนำที่ดีที่สุดเรื่องการอยู่ในวงการบันเทิง และการแยกชีวิตส่วนตัวออกจากสาธารณะ” — Elizabeth ในบทสัมภาษณ์กับ Harper’s Bazaar

สามพี่น้องกับเส้นทางที่เลือกเอง

ชื่อ ปีเกิด เส้นทางหลัก
 • Mary-Kate Olsen 1986 นักแสดง (อดีต), แฟชั่นดีไซเนอร์
 • Ashley Olsen 1986 นักแสดง (อดีต), แฟชั่นดีไซเนอร์
 • Elizabeth Olsen 1989 นักแสดงระดับโลก (Scarlet Witch)

      สามพี่น้องตระกูล Olsen คือตัวอย่างของ “ครอบครัวที่เติบโตในวงการบันเทิง” แต่ต่างคนต่างเลือกเดินทางที่แตกต่างกันออกไปอย่างภาคภูมิ

      Elizabeth Olsen ไม่ได้เป็นเพียง “น้องสาวของฝาแฝด Olsen” อีกต่อไป แต่เธอคือ นักแสดงหญิงมากความสามารถ ที่ยืนอยู่บนเวทีโลกด้วยชื่อของตัวเอง

      และสุดท้าย — พี่น้องทั้งสามยังคงเป็น “ครอบครัวเดียวกัน” ที่สนับสนุนกันอย่างเงียบ ๆ แม้จะอยู่คนละเส้นทาง
29

ผ่านไปแล้ว 35 ปี! กับภาพยนตร์สยองขวัญสุดคลาสสิก Gremlins 2: The New Batch

ออกฉายในวันที่ 15 มิถุนายน ปี 1990 Gremlins 2 คือภาคต่อสุดฮาที่พลิกโฉมจากภาคแรกไปสู่ความบ้าระห่ำสุดขีด!

นำแสดงโดย Zach Galligan, Phoebe Cates, John Glover และ Robert Prosky กำกับโดยผู้กำกับสายหลุดโลก Joe Dante ที่นำเหล่าเกรมลินกลับมาอาละวาดอีกครั้ง — คราวนี้ในตึกสูงใจกลางเมืองนิวยอร์ก!
ต่างจากภาคแรกที่ออกแนวหลอนลึกลับ ภาคสองเต็มไปด้วยอารมณ์ขันเสียดสีฮอลลีวูด, ทีวี, วิทยาศาสตร์ และแม้แต่…ภาคแรกของตัวเอง!

กลายเป็นหนึ่งในภาคต่อที่ “กล้าหลุดกรอบ” ที่สุดในประวัติศาสตร์หนังสยองขวัญ

วันนี้ผ่านไป 35 ปี Gremlins 2 ก็ยังคงเป็นที่รักของแฟน ๆ ที่เติบโตมากับความน่ารัก (และน่ากลัว) ของเหล่าเกรมลินตัวป่วน!
30

“Upside-down Kiss” ฉากจูบกลับหัวในตำนาน แทบไม่ได้เกิดขึ้นถ้าไม่ได้ไหวพริบของ Kirsten Dunst
คุณจำได้ไหม? ฉากฝนตกที่ Peter Parker ห้อยหัวลงมาจากเสาไฟ แล้วจูบกับ Mary Jane? ฉากนี้กลายเป็น หนึ่งในจูบที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ และได้รับรางวัล MTV Movie Awards ด้วย

แต่เบื้องหลังมันแทบจะไม่ได้เกิดขึ้น! เพราะ Tobey Maguire ห้อยหัวกลางสายฝนปลอมที่เย็นเฉียบและไหลเข้าจมูกเขาตลอดการถ่ายทำ เขาแทบหายใจไม่ออก

ใครคือคนที่ช่วยทำให้ฉากนั้นถ่ายสำเร็จ? ใช่เลย — Kirsten Dunst นั่นเอง เธอเล่าว่าเธอช่วยจับหน้าของ Tobey ไว้ให้อยู่มุมที่เขาหายใจได้ และยังต้อง “จูบให้ตรง” ทั้งที่น้ำไหลจากผมและเสื้อของเขาเต็มหน้าเธอไปหมด

 “มันโรแมนติกในหนัง แต่ในชีวิตจริงคือเรากำลังจูบคนที่เกือบจมน้ำฝนปลอม” — Kirsten กล่าวติดตลกในบทสัมภาษณ์
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 10