เทพธิดาดอย.. หนังเรื่องนี้เข้าฉายครั้งแรกในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2523 ที่โรงหนังโคลีเซี่ยม-พาราเมาท์ ตอนนั้นผมยังอยู่จังหวัดสุรินทร์ หนังก็เข้าฉายที่โรงหนังคาเธ่ย์ ซึ่งใกล้ๆ คิวรถสองแถวสายสุรินทร์-ปราสาท ถ้ามองออกจากปากซอยบ้านผม ก็จะเห็นหน้าโรงหนังคาเธ่ย์ แต่เดิมโรงหนังนี้ชื่อว่า กรุงชัยราม่า ต่อมามีการเปลี่ยนเจ้าของ ก็เลยเปลี่ยนชื่อเป็นโรงคาเธ่ย์
ถ้าพูดถึงหนังเรื่องนี้ ก็คิดถึงเพื่อนนักเรียนหญิง สมัยที่เรียน ม.ศ.5 ด้วยกัน เธอมีชื่อว่า รุ่งทิวา ชื่อเล่นว่า รุ่ง แต่เพื่อนๆ มักจะเรียกเธอว่า อาหมวย เพราะเธอมีเชื้อสายจีน พ่อแม่อาหมวยเปิดร้านขายของชำอยู่หลังคิวรถใกล้โรงหนังคาเธ่ย์ อาหมวย เป็นคนผิวขาว ผอมบาง เอวเล็กจนโดนแซวว่า เธอเอวมด เวลาเธอไปโรงเรียน ก็จะปั่นจักรยานไป เขาเรียกจักรยานญี่ปุ่น อาหมวยจะสนิทกับผม ในห้องเรียนเราจะมีผู้หญิงแค่ 11 คนเพราะเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดชาย แต่เฉพาะชั้น ม.ศ.4 -ม.ศ.5 จึงจะมีผู้หญิงมาร่วมเรียนได้
บ้านผมกับร้านอาหมวย ก็อยู่ไม่ไกลกัน บางครั้งเราจึงปั่นจักรยานกลับบ้านพร้อมกัน บางครั้งจักรยานผมเสีย อาหมวยก็จะให้ผมปั่นจักรยานให้ แต่พอมีเพื่อนๆ แซวว่า เราเป็นแฟนกัน ผมก็เลยไม่ค่อยจะกล้าปั่นจักรยานไปด้วยกันอีก
อาหมวยเป็นคนชอบร้องเพลง พอหนังเรื่อง เทพธิดาดอย มาฉายที่โรงคาเธ่ย์ ก่อนฉาย เขาก็มีการประกวดร้องเพลง เทพฺธิดาดอย ผมก็เห็นอาหมวยซ้อมร้องเพลงนี้ในห้องเรียนเพื่อจะไปประกวด ผมเองก็ชอบเพลงนี้ด้วย หนังที่มาฉาย ผมก็อยากดู แต่ก็ไม่มีสตางค์ไปซื้อดูหนัง พอรู้ว่า อาหมวยจะไปประกวดร้องเพลงคืนนั้น ผมก็เลยเตร่ๆไปที่โรงหนัง ซึ่งจริงๆ แล้ว ผมก็เตร่ๆ ไปเกือบทุกคืนนั่นแหละ ไปดูโปรแกรมหนัง ไปนั่งเพลงที่โรงหนังเขาเปิด หรือไม่ก็ไปนั่งฟังเพลงจากตู้เพลงใกล้ๆ ที่มีคนหยอดให้ฟังนั่นแหละครับ
คืนที่มีการประกวดร้องเพลงนั้น หนังจะฉายเวลา 2 ทุ่มครึ่ง แต่ช่วงประกวดร้องเพลง เขายังไม่ปิดประตูโรงหนัง จึงมองเห็นการร้องเพลงได้ โรงหนังคาเธ่ย์จะเป็นโรงพัดลม ไม่ติดแอร์ ตอนนั้นก็มีเพียงโรงหนังศรีสุรินทร์โรงเดียวที่เป็นโรงหนังติดแอร์ ผมก็มองเห็นอาหมวยขึ้นเวทีร้องเพลง เทพธิดาดอย กับเขาด้วย คนประกวดเยอะมาก สักพักเขาก็ปิดประตูโรงหนัง มารู้ผลที่โรงเรียนว่า อาหมวยไม่ได้รางวัลอะไรเลย แต่ก็ไม่เห็นเธอเสียใจอะไร
แต่ผมเองต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องเสียใจเพราะเพื่อนๆ แถวบ้าน เขาก็ได้ไปดูหนังเรื่องนี้กัน แต่บ้านผมนั้น พ่อแม่จะไม่ให้เงินไปดูหนังเด็ดขาด ถ้าอยากจะดูจริงๆ ผมก็จะต้องเก็บเงินค่าขนมเอาไปดูเอง.. หรือไม่ก็ต้องหาเก็บเศษเหล็กหรือของเก่าๆ ไปขาย จึงจะมีเงินไปซื้อตั๋วหนังดูกับเขาได้ สมัยนั้นผมก็ได้แต่นั่งคอยความหวังจากจอหนังกลางแปลงเท่านั้น แต่เรื่องนี้ก็ไม่เคยได้ดูเลย
ส่วนเรื่องของ อาหมวย นั้น ตอนใกล้ๆ จะเรียนจบ ม.ศ.5 เธอก็พยายามหนีความเป็นอาหมวย ด้วยการไปทำตาสองชั้น ผมเห็นครั้งแรกๆ ก็แปลกใจว่า เธอไปทำ ทำไม หมวยอย่างเก่าก็ดีอยู่แล้ว แต่ถึงจะอย่างไร อาหมวยก็ยังคงเป็นอาหมวยที่น่ารักสำหรับผมเสมอครับ
วันที่เราเรียนจบชั้น ม.ศ.5 (สมัยนั้น ยังไม่มี ม.6) เราถ่ายรูปนักเรียนขนาด 2 นิ้วไว้สมัครเรียนต่อ อาหมวยก็ให้รูปถ่ายผม 1 รูป ด้านหลังเขียนว่า อย่าลืมเพื่อน.. ผมรู้แต่ว่า ตอนนั้นเราต้องจากกันไปเรียนที่อื่นๆ แต่ก็ไม่รู้ที่ไหน.. ผมมาเรียนรามฯ พอปิดเทอม ก็กลับไปเห็นอาหมวยที่สุรินทร์อยู่บ้าง แต่ก็ไม่กี่ครั้งเพราะเวลาไม่ค่อยจะตรงกันและสมัยนั้นสื่อสารก็ไม่ดีเหมือนปัจจุบัน
ส่วนหนังเรื่อง เทพธิดาดอย นั้น ภายหลังที่พวกเราเริ่มออกหาฟิล์มหนังกันเอง ผมก็เพิ่งจะได้ดูจากกากฟิล์มที่คุณนุ ประเดิม ไปติดต่อหามาได้ สภาพฟิล์มก็เสียหายบ้างแล้ว แต่ผมก็พยายามซ่อม พยายามฉายทำไฟล์ภาพไว้ แม้หนังจะไม่ค่อยสมบูรณ์ แต่ก็เคยจัดฉายให้เพื่อนๆ ได้ดูกันไปแล้ว สาวๆ ของเราก็พากันแต่งชุด เทพธิดาดอย มาดูหนัง.. และหลังสุด แพทย์หญิงพันทิวา สินรัชตานันท์ ผู้ขับร้องเพลง เทพธิดาดอย ก็ยังจัดกลุ่มมิตรเทพธิดาดอย มาดูหนังเรื่องนี้กับพวกเราด้วย ก็ขาดแต่อาหมวยนั่นแหละครับ ที่ทุกวันนี้ ผมก็ไม่รู้ว่า เธออยู่ที่ไหน..