• ชื่อไทย : ที่นี่...ประเทศไหน
• ปีที่เปิดตัว : 2561
• เข้าฉายในไทย : 18 ตุลาคม 2561
• นำแสดง : Daveed Diggs, Rafael Casal, Janina Gavankar
• กำกับโดย : Carlos Lopez Estrada
• เขียนโดย : Rafael Casal, Daveed Diggs
• ประเภท : Comedy / Crime / Drama
• ความยาว : 95 นาที
• เรต : R
• สร้างโดย : USA
• จำหน่ายโดย : Mongkol Major มงคล เมเจอร์
เรื่องย่อ Blindspotting ที่นี่...ประเทศไหน โคลิน (ดาวีด ดิกส์) เป็นพนักงานขนย้ายของร่วมกับเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็ก ไมล์ส (ราฟาเอล คาซาล) เขาเหลืออีก 3 วันสุดท้ายของการรับโทษภาคทัณฑ์ ซึ่งถ้าผ่านไปได้เขาจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่เขาดันไปเป็นพยานเห็นตำรวจยิงคนตาย ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนทั้ง 2 คนก็ได้รับการทดสอบเมื่อทั้งคู่ต้องปลุกปล้ำอยู่กับตัวตนของตัวเองและอนาคตที่เปลี่ยนไป ในเมืองโอกแลนด์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
เรียกได้ว่ากระแสจากเมืองนอกที่ได้ดูก่อนบ้านนั้นออกมาดีเลยทีเดียว สำหรับ Blindspotting ที่นี่…ประเทศไหน ผลงานการกำกับภาพยนตร์ยาวเรื่องแรกของ คาร์ลอส โลเปซ เอสตราดา (Carlos López Estrada) ผู้กำกับรุ่นใหม่ไฟแรงที่มีแววว่าจะไปได้ไกล ร่วมด้วยสองนักแสดงที่เป็นเพื่อนซี๊กันทั้งในและนอกจอ ดาวีด ดิกส์ (Daveed Diggs) และ ราฟาเอล คาซาล (Rafael Casal) นอกจากจะแสดงนำแล้ว พวกเขายังร่วมมือกันเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาอีกด้วย
Blindspotting ที่นี่…ประเทศไหน ว่าด้วยเรื่องราวของ คอลลิน ชายหนุ่มที่ต้องผ่านช่วงทัณฑ์บนสามวันสุดท้ายให้ได้ก่อนที่จะเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาและเพื่อนซี้จอมแสบอย่าง ไมลส์ ทำงานเป็นพนักงานรับจ้างเคลื่อนย้ายที่ได้แต่เฝ้ามองย่านที่พวกเขาโตมาเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นทำให้ทั้งสองหนุ่มต้องรักษามิตรภาพของกันและกันเอาไว้ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่ทำให้ทั้งคู่เห็นความแตกต่างของกันและกันมากขึ้น
แม้หลายคนอาจจะคิดว่า Blindspotting จะค่อนข้างอยู่นอกกระแสและบ้านเราอาจจะไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจมากนัก แต่เชื่อเหลือเกินว่าใครที่มองข้ามจนไม่ได้ตีตั๋วเข้าไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าพลาดมาก หากได้ดูจากตัวอย่างหลายคนอาจจะคิดว่ามันไม่ค่อยน่าสนใจมากนัก แต่ก็ขออย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจไป เพราะโดยภาพรวมของหนังนั้นทำออกมาได้ดีเกินคาด ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของสองนักแสดงนำอย่าง ดาวีด ดิกส์ (Daveed Diggs) และ ราฟาเอล คาซาล (Rafael Casal) ที่ถ่ายทอดบทบาทของตัวละครออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เราเชื่อว่าเขาเป็นเพื่อนรักกันจริงๆ
เหนือสิ่งอื่นใดความดีงามของภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่การแสดงของสองคู่หูเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่หนังต้องการจะสื่อให้เห็นก็คือความเป็นอื่นที่เกิดกับมนุษย์ในสังคม ซึ่งได้ถูกถ่ายทอดเรื่องราวเสียดสีสังคมผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ โดยเฉพาะการเลือกปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยการแบ่งแยกสีผิว และสิ่งที่สื่อให้เห็นว่าเรื่องราวอันผิดปกติเหล่านี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว นั่นก็คือการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติกับคนเหล่านี้ด้วยความไม่เป็นธรรม ลึกไปกว่านั้นคือผู้ถูกกระทำเองก็ยิ่งกดตัวเองให้ต่ำลงไปอีก เสมือนว่าความคิดและสิ่งคนทั้งหลายปฏิบัติต่อเขานั้นเป็นเรื่องที่ไม่อาจขัดขืนได้ นี่จึงเป็นภาพยนตร์ตลกร้ายที่เสียดสีสังคม โดยเฉพาะอเมริกาได้อย่างเจ็บแสบ
เชื่อว่าอาจจะมีหลายคนที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วไม่ได้อินหรือรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์ หรืออาจจะเห็นว่ามันเป็นเรื่องไกลตัวและไม่ได้เกิดขึ้นกับสังคมในบ้านเรา แต่หากนำกลับมาคิดทบทวนดีๆ แล้วก็จะพบว่าเรื่องราวที่อยู่ในสังคมอเมริกันนั้นก็แทบไม่ได้มีความแตกต่างไปจากบ้านเรานัก เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้รุนแรงเท่าบ้านเขา และหากกลับมาคิดดูดีๆ อีกรอบก็จะพบว่าเรื่องราวความแตกแยกที่มาจากความแตกต่างระหว่างชนชั้นหรือสีผิวนั้นก็เป็นสิ่งเกิดขึ้นมานานนับตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้นเลยก็ว่าได้ หากจะให้ทุกคนมีความเสมอภาคกันไปเสียทุกอย่างก็คงเป็นไปไม่ได้ ก็ได้แต่หวังว่าขอให้สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีช่องว่างระหว่างกันน้อยลงเท่านั้นเอง
จากที่กล่าวมาทั้งหมดหลายคนอาจจะคิดว่านี่มันเป็นภาพยนตร์ที่ออกจะซีเรียสไปมากหรือเปล่า เราอยากดูเรื่องราวที่ให้ความบันเทิงใส่สมองมากกว่าจะหาเรื่องเครียดกว่าเดิมนะ ซึ่งก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปเพราะความบันเทิงที่คอหนังจะได้รับนั้นมีอยู่แล้ว โดยเฉพาะลีลาการแร็ปของสองนักแสดงนำบอกได้เลยว่าสุดยอดมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าพวกเขาทั้งสองจะสามารถแร็ปได้อย่างเมามันส์พร้อมๆ ไปกับการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครในขณะนั้นออกมาได้อย่างกินใจ เชื่อเหลือเกินว่าใครที่ได้ชม Blindspotting ต้องได้อะไรไปมากกว่าความสนุกแน่นอน