พระนางโกรธจัดทันทีที่ได้ยิน แต่พอเห็นว่าเป็นใคร นางก็สงบอารมณ์ลงในทันทีผู้พูดคือ องค์หญิงหรงโส่ว
เธอเดินเข้ามาหาพระนางอย่างไม่เกรงกลัว พลางจับชายเสื้อขึ้นมาดู และกล่าวว่า
“จะอายุ 50 อยู่แล้ว จะใส่อะไรฉูดฉาดไปทำไมกัน เปลืองเงินเปล่าๆ แล้วจะกลายเป็นเป้าให้คนพูดนินทาอีก”
พระนางซูสีไม่ใส่ใจกับคำบ่นของเธอ กลับดึงตัวองค์หญิงให้นั่งลง แล้วพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไป แต่หลังจากนั้น พระนางก็มักแต่งตัวเรียบง่ายขึ้นเมื่ออยู่ต่อหน้าองค์หญิง
เหตุใดองค์หญิงจึงกล้าติเตียนพระนางซูสีได้ต่อหน้า?
และเหตุใดพระนางถึงไม่โกรธ? เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1862ปีนั้นจักรพรรดิเสียนเฟิงสิ้นพระชนม์ เหล่าฮองเฮาทั้งสองพระองค์ (คือพระนางซูสีและพระนางซูอัน) จึงรวบอำนาจโดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์ชายกง "อี้ซิ่น" และสามารถกำจัด “แปดขุนนางผู้ใหญ่” ได้สำเร็จ
เพื่อถ่วงดุลอำนาจขององค์ชายกง และเพื่อเป็นการตอบแทนบุณคุณ พระนางซูสีจึงรับบุตรสาววัย 7 ขวบของเขาเข้าวัง และตั้งนางเป็น “กู่หลุนกงจู่” (องค์หญิงกู่หลุน)
แม้องค์หญิงหรงโส่วจะยังเด็ก แต่กลับมีบุคลิกสุขุมและจริงจัง
เธอไม่เคยประจบประแจงซูสีไทเฮาเลย แม้พระนางจะมีอำนาจล้นฟ้า เธอกลับชอบพูดตรงๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างไม่เกรงใจ
เมื่ออยู่ด้วยกันนานวันเข้า พระนางซูสีก็ชอบเธอมากขึ้น และถึงแม้จะโดนติเตียนบ่อยๆ พระนางก็รับฟังด้วยรอยยิ้ม (แม้อาจจะไม่เปลี่ยนพฤติกรรมก็ตาม)
องค์หญิงหรงโส่วยังขึ้นชื่อเรื่องความประหยัดมัธยัสถ์
ตรงข้ามกับพระนางซูสีที่แต่ละมื้ออาหารต้องมีถึง 108 อย่าง
องค์หญิงมักต่อว่าพระนางว่า
“ปากของท่านใหญ่แค่ไหนกันเชียว? กินไม่กี่อย่างก็พอแล้ว โต๊ะนี้เลี้ยงคนจนได้เป็นร้อยเลยนะ!”
บางครั้งพระนางรำคาญ ก็หลบหน้าองค์หญิงอยู่พักใหญ่
ถึงจะบ่นเยอะ แต่เธอก็ใส่ใจสิ่งที่พระนางซูสีชอบอย่างเต็มที่
ไม่แปลกใจเลยที่พระนางจะรักเธอเหมือนลูกแท้ๆ
ในปี 1866 เมื่อองค์หญิงอายุ 12 ปี ได้แต่งงานกับ “ฝู๋ฉา จื้อรุ่ย”
แต่ไม่นานแค่ 5 ปี สามีของเธอก็เสียชีวิตลงด้วยโรคภัย
พระนางซูสีเห็นใจที่เธอต้องอยู่ตัวคนเดียว จึงรับกลับมาอยู่ในวังอีกครั้ง
แสดงให้เห็นถึงความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างสองคน
องค์หญิงหรงโส่วมีนิสัยดีจริงใจ พระนางซูสีก็ปฏิบัติกับเธอเหมือนลูกแท้ๆ
เธอก็ตอบแทนด้วยความกตัญญูและความเคารพ
ในปี 1908 ขณะพระจักรพรรดิกวางซวี่และพระนางซูสีไมเฮาสิ้นพระชนม์ติดๆ กัน
องค์หญิงรีบกลับเข้าวัง แต่กลับพบว่าทั้งสองพระองค์ยังไม่ถูกแต่งศพ ไม่มีคนเฝ้า
องค์หญิงโกรธมาก
เธอเข้าไปหาพระบิดาของจักรพรรดิผู่อี้ (จักรพรรดิองค์ถัดไป)
พอเจอหน้าก็พูดด้วยเสียงแข็งกร้าวว่า
“วันนี้น่าจะเป็นวันดีของเจ้าสินะ! ลูกเจ้าขึ้นครองบัลลังก์ เจ้ากลายเป็นผู้สำเร็จราชการแล้ว แต่กลับไม่สนใจงานพระศพของฮ่องเต้และไทเฮาเลยหรือ?”
ผู้สำเร็จราชการถึงกับอึ้ง พอถูกองค์หญิงกดดัน จึงรีบจัดเตรียมพิธีศพทันที
ตั้งแต่นั้นมาจนพระศพของจักรพรรดิกวางซวี่และพระนางซูสีถูกฝัง ทุกอย่างก็เป็นไปอย่างเรียบร้อย
ในช่วงเวลานั้น พระจักรพรรดิผู่อี้ยังเด็ก พระมเหสียหลงอวี้ก็ขี้กลัว
ผู้สำเร็จราชการก็เฉยเมย ขุนนางทั้งหลายก็แต่คิดเอาเปรียบกัน
หากไม่มีองค์หญิงหรงโส่วจัดการเรื่องทั้งหมด
พระนางซูสีผู้เคยยิ่งใหญ่ อาจไม่มีแม้กระทั่งพิธีศพที่สมเกียรติ
องค์หญิงหรงโส่วเป็นคนกล้าหาญ ซื่อสัตย์ และพูดตรง
หากพระนางซูสีรับฟังคำตักเตือนของนางบ้างจริงๆ ชีวิตของพระนางอาจไม่ถูกตำหนิหนักหนาเช่นนั้น
แต่หากเป็นเช่นนั้น พระนางก็คงไม่ใช่ "ซูสีไทเฮา" อีกต่อไป
เพราะนิสัยของคน เปลี่ยนยากกว่าการเปลี่ยนแผ่นดินเสียอีก
หมายเหตุคนในภาพคือ องค์หญิงหรงโส่ว ในวัยชราครับ