ผู้เขียน หัวข้อ: บทที่ 173 ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย แหวนทองเหลือง (2516 ไชยา-นัยนา)  (อ่าน 1086 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ออฟไลน์ ฉัตรชัยฟิล์มshop

  • Thaicine Movie Team
  • Moderator
  • พี่น้อง thaicine Gold member
  • ***
  • กระทู้: 11590
  • พลังใจที่มี 441
  • เพศ: ชาย
  • รักการฉายด้วยฟิล์ม

บทที่ 173
ชุมทางหนังไทยในอดีต เสนอฉาย
หนึ่งในโครงการภาพยนตร์ไทยคงเหลือ
แหวนทองเหลือง (2516 ไชยา-นัยนา)
โดย มนัส กิ่งจันทร์

(facebook 27 พฤษภาคม 2556)


หนังไทยคงเหลือ แหวนทองเหลือง 2516


                สวัสดีครับทุกท่าน.. วันนี้ “โครงการภาพยนตร์ไทยคงเหลือ” ขอเสนอฉายหนัง 35 มม.พากย์เสียงในฟิล์มเรื่อง “แหวนทองเหลือง” เรื่องราวความรักของ "สาวเหนือกับหนุ่มกรุงเทพฯ" ที่มี “แหวนทองเหลือง” เป็นเครื่องพันธนาการแห่งหัวใจ.. แหวนทองเหลือง นั้น ผมได้ดูตั้งแต่ยังเด็ก ๆ ตอนนั้นดูไปก็ไม่ค่อยจะซาบซึ้งอะไรนักหรอกเพราะเป็นหนังรักหนังชีวิตที่ดำเนินเรื่องไปเรื่อย ๆ แต่ภาพที่ผมจดจำได้สำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือ หนังอะไรไม่รู้ยาวเป็นบ้าเลย.. อีกอย่างที่จำได้ติดตาก็คือ เห็นรถไฟลอดเข้าถ้ำขุนตาล (มารู้ชื่อในภายหลังนะครับ) และเห็น นัยนา ชีวานันท์ นางเอกของเรื่องสวมเสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่งเดินไปบนไม้หมอนรางรถไฟ.. แล้วก็เป็นลมและมีรถค้ำถ่อมาช่วยเธอไป...

                นั่นคือ สิ่งที่ผมจำได้จากหนังเรื่องนี้.. และก็คิดว่าคงจะไม่ได้ดูอีกเพราะไม่เคยเห็นวีดีโอเทปออกจำหน่ายเลย ทั้ง ๆ ที่ยังมีฟิล์มต้นเก็บอยู่.. แต่ก็โชคดีที่มีโอกาสได้ดูหนังอีกครั้งจากทีวีช่อง 7 สี นำมาฉายแบบยาวรวด เนื้อหาค่อนข้างจะสมบูรณ์..ก็เลยมองเห็นอะไรจากหนังเรื่องนี้มากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องราวของ “ความรัก”...

                แหวนทองเหลือง เป็นบทประพันธ์ของ บุษบง นารถสุดา สร้างโดย ละโว้ภาพยนตร์ มีชื่อ หม่อมอุบลยุคล เป็นผู้อำนวยการสร้าง.. กำกับการแสดงโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอนุสรมงคลการ... ส่วนดาราที่นำแสดงก็มีกันคับคั่ง เช่น ไชยา สุริยัน-นัยนา ชีวานันท์-อดุลย์ ดุลยรัตน์-เยาวเรศ นิสากร-เชาว์ แคล่วคล่อง-มารศรี อิศรางกูร-จุรี โอศิริ-สุคนธ์ คิ้วเหลี่ยม-เมืองเริง ปัทมินทร์-สมพล กงสุวรรณ-เสถียร ธรรมเจริญ-ชูศรี มีสมมนต์ และยังมีพระเอก-นางเอกใหม่คือ ภาณุวัฒน์ มังคลารัตน์-เขมิกา กุญชร ณ อยุธยา..  ใช้เวลาสร้างประมาณ 2 ปีเศษและนำออกฉายครั้งแรกเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2516 ที่โรงหนังเฉลิมเขตร์..

                เนื้อหาหนังจะมีรายละเอียดและยาวมาก เห็นทีว่า ผมจะพูดถึงแค่ประเด็น “ความรัก” ของพระเอก-นางเอกก็แล้วกัน.. นางเอกคือ นัยนา ชีวานันท์ เล่นเป็นสาวบ้านนอกอยู่ที่ ดอยติ จังหวัดลำพูน มีชื่อว่า “ดวงใจ คุ้มเกิด”..  ส่วนพระเอกคือ ไชยา สุริยัน แสดงกับนัยนาเป็นครั้งแรก มาในชื่อ “กฤษฎา ดำรงค์พร”.. เรื่องราวก็เกิดขึ้นเมื่อกฤษฎา (ไชยา) กับญาติ ๆ เดินทางไปเที่ยวดอยติ โดยมีกำนันพ่อของ ดวงใจ (นัยนา) เป็นคนต้อนรับขับสู้.. และแล้วความรักของกฤษฎากับดวงใจก็เกิดขึ้นที่ดอยติ.. ถึงขั้นได้เสียกัน.. โดยกฤษฎาสัญญาว่า จะไปขอดวงใจกับพ่อกำนัน แต่ว่าพอวันรุ่งขึ้น กฤษฎาก็ได้รับโทรเลขด่วนให้เดินทางกลับกรุงเทพฯ จึงไม่ได้พูดจากเรื่องแต่งงานกันกับพ่อกำนัน แต่กฤษฎาได้มอบล๊อตเก็ตต้นตระกูลให้ดวงใจไว้เป็นประกันความรัก ส่วนดวงใจนั้นก็มีเพียง แหวนทองเหลือง ไร้ราคามอบให้ กฤษฎา สวมไว้ โดยกฤษฎาบอกว่า หากเห็นแหวนทองเหลืองที่นิ้ว ก็หมายว่าหัวใจเขามีดวงใจเพียงคนเดียวเช่นกัน..

                ต่อมาพ่อกำนันรู้เรื่องว่า ดวงใจท้องกับกฤษฎา ก็โกรธ แต่ก็ไม่อาจจะไปสู้หน้าท่านเจ้าคุณ พ่อของกฤษฎาผู้มีพระคุณไม่ จึงจับดวงใจขังไว้ในบ้านและจะให้แต่งงานกับผู้มีอันจะกินของหมู่บ้านแทน..พอถึงวันแต่งงาน ดวงใจซึ่งถูกมัดล่ามโซ่ไว้ ก็เชือดส้นเท้าตัวเองรูดโซ่ออก กระโดดหน้าต่างหนีไปเพราะรักมั่นในกฤษฎาคนเดียวเท่านั้น..ระหว่างทางก็แลกชุดแต่งงานกับชุดของชาวบ้านที่กำลังท้องและเพราะไม่มีเงินติดตัวมาเลย ก็เลยเดินทางตามรางรถไฟมุ่งหน้าจะไปหากฤษฎาคนรักที่กรุงเทพฯ..ระหว่างเดินทางนั้น ดวงใจก็เป็นลมหมดสติ..  ก็มีนายแพทย์อนาบาลรถไฟที่ชื่อ เมตตา (อดุลย์) มาพบเข้าและพาไปทำคลอด ออกลูกเป็นผู้หญิงและเมื่อรู้ว่า ดวงใจจะไปตามหากฤษฎาที่กรุงเทพฯ ก็เลยอาสาพาไปด้วย..

                ดวงใจมาพักอาศัยกับนายแพทย์เมตตาซึ่งขณะนั้นกรุงเทพฯ ก็กำลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี..ดวงใจตามหากฤษฎานานถึง 3 ปี แต่ก็ไม่พบตัว กระทั่งทราบจากคนรับใช้เก่าแก่ว่า พอกฤษฎากลับมาถึงกรุงเทพฯ ท่านเจ้าคุณพ่อก็สิ้นใจและทิ้งหนี้สินไว้มากมายจนถึงขั้นฟ้องล้มละลาย ส่วนกฤษฎาก็หายสาบสูญไป ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน..  เมื่อดวงใจรู้ความจริง ก็เสียใจและกลับไปบอกนายแพทย์เมตตา นายแพทย์ซึ่งแอบรักแอบสงสารดวงใจอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยเอ่ยปาก ขอแต่งงานกับดวงใจเอง แต่ดวงใจก็ปฏิเสธเพราะรักยังมั่นในตัวกฤษฎาคนเดียวเช่นเดิม..จึงพาลูกน้อยหลบหนีจากไปและไปเป็นขอทานหาเลี้ยงลูกน้อย กระทั่งแม่เล้า (ชฎาพร) มาพบ ก็ชักชวนให้ไปเป็นหญิงโสเภณี แต่ดวงใจก็ไม่ยอม แม้เล้าจึงพวกมารุมข่มขืน ดวงใจเมื่อไม่อาจรักษาความบริสุทธิ์ไว้รอกฤษฎาคนเดียวได้ จึงจำยอมต้องเป็นหญิงโสเภณี... โดยนำลูกสาวกลับไปฝากนายแพทย์เมตตาให้เลี้ยงดูแทน..

                ต่อมาซ่องโสเภณีถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดตายหมด คงเหลือแต่ดวงใจ จึงถูกนายทหารญี่ปุ่น (เสถียร) นำไปเลี้ยงดูเป็นเมียเช่า แต่เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลง นายทหารญี่ปุ่นก็ต้องเดินทางกลับและเกิดเรืออับปาง ทำให้ดวงใจไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน จนต้องยกเฟอร์นิเจอร์ในบ้านใช้หนี้ ทำให้ค้นพบว่า ในห้องใต้ถุนมีทองคำจำนวนมากที่นายทหารญี่ปุ่นยักยอกเอาไว้ ดวงใจจึงกลายเป็นเศรษฐีนีใหม่และเปลี่ยนชื่อเป็น หทัยทิพย์ เกิดนพคุณ โดยได้อุปโลกน์หญิงรับใช้ คือ เสาวรศ (เยาวเรศ) ที่กอดคอดูแลกันมาเป็นพี่สาวและเปิดบริษัทใหญ่โต..

                ช่วงที่ดวงใจเป็นเศรษฐีนี้เอง สิ่งที่ดวงใจตามหามาตลอดชีวิตก็ปรากฏขึ้น ขณะที่เธอนั่งรถเก๋งคันโตมาทำงาน เผอิญรถไปเชี่ยวชนกับชายคนหนึ่งล้มลง เมื่อคนรถลงไปดู ชายคนนั้นก็รีบบอกว่า ผมไม่เป็นอะไร.. แล้วจะหันไปขอโทษเจ้าของรถที่ตัวเองเดินไม่ดูตาม้าตาเรือ.. ดวงใจถึงกับตะลึงเพราะชายคนคือ กฤษฎา คนที่เธอรักและตามหานั่นเอง เธออุทานเบาๆ.. คุณกฤษฎา..สีหน้า แววตา ดูอิ่มเอิบเปี่ยมไปด้วยความสุขเมื่อมองไปเห็นแหวนทองเหลืองของเธอยังคงสวมอยู่ที่นิ้วมือของกฤษฎา..แต่กฤษฎานั่นเล่ากลับจดจำเธอไม่ได้เลย...

                เธอไปถึงที่ทำงาน ก็รีบไปบอกเรื่องนี้ให้เสาวรศฟัง.. และจะหาทางมาพบกฤษฎาให้ได้เพื่อถามหาความจริง.. กฤษฎาถูกเชิญให้มาทำงานที่บริษัทของดวงใจ.. และเมื่อมีโอกาสอยู่ตามลำพัง ดวงใจก็พยายามเลียบเคียงถามถึงเรื่องคนรักของกฤษฎา.. กฤษฎาก็เล่าบอกแบบไม่ปิดบัง เขาบอกว่าความจริงว่า เขาเคยมีภรรยาแล้วชื่อ ดวงใจ เป็นสาวงามแห่งดอยติ รักเรากันมาก แต่ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันก็เพราะเขาไปเป็นเสรีไทยต่อต้านญี่ปุ่นแล้วถูกจับ กระทั่งพ้นโทษออกมา จึงไปตามหาดวงใจที่ดอยติ ก็ทราบความจริงจากพ่อกำนันว่า ดวงใจตายแล้ว เขาก็เลยเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้วมาถูกรถเชี่ยวชนนั่นแหละ..

                ฉากนี้ผมชอบมากๆ เพราะระหว่างที่ไชยานั่งเล่าอดีตของความรัก จะให้นัยนานั่งฟังอย่างตั้งใจ บางครั้งก็หันหลบกล้องไปแอบอมยิ้มโดยเฉพาะที่บอกว่า ดวงใจตายแล้ว..นัยนาถามว่า รู้ได้อย่างไรว่าตาย ไชยาก็บอกว่า ก็ไปเห็นหลุมศพมาแล้ว (ซึ่งความจริงเป็นหญิงชาวบ้านที่ดวงใจแลกเสื้อผ้าและถูกเสือกัดตายจนใบหน้าเละแทะต่างหาก)...

                ระหว่างที่กฤษฎาทำงานอยู่กับบริษัทของดวงใจนั้น ก็มีหญิงสาวรุ่นๆ (เขมิกา) มาติดพัน โดยที่ดวงใจและกฤษฎาก็ไม่รู้มาก่อนว่า เขมิกาเป็นลูกสาวของตนเองที่นายแพทย์เมตตาเลี้ยงดูไว้.. แต่เพราะดวงใจคิดว่า ตัวเองไม่บริสุทธิ์สำหรับกฤษฎาแล้ว ทั้งหญิงสาวที่มาติดพันกฤษฎาก็ยังสะยังสวย ดวงใจจึงต้องการพิสูจน์ว่า กฤษฎายังมีดวงใจคนนี้อยู่ในหัวใจอีกหรือไม่ จึงเชิญกฤษฎามารับประทานอาหารที่บ้านพัก.. ซึ่งฉากนี้ ก็เป็นอีกฉากหนึ่งที่ผมชอบมาก ๆ... ดวงใจในชุดสาวชาวเหนือแห่งดอยติ คอยต้อนรับกฤษฎาที่เดินเข้ามาอย่างงงๆ ในห้องถูกตกแต่งให้มีบรรยากาศชาวเหนือ.. ดวงใจปรนนิบัติทุกอย่าง เหมือนที่เคยทำไว้เมื่อตอนพบรักกันใหม่ ๆ ฝ่ายกฤษฎาก็เหมือนต้องมนต์..งงๆ..

                เสียงเพลงทางเหนือที่ขับกล่อม อาหารเหนือที่ดวงใจป้อนถึงปากและคอยปรนนิบัติรับใกล้ๆ จนทำให้กฤษฎาเคลิบเคลิ้ม อุทานออกมาเบาๆ ว่า เหมือนเคยได้เห็นภาพแบบนี้มาก่อน..ที่ไหนน่ะ... เสียงเพลงแหวนทองเหลืองที่แต่งเข้ากับชีวิตรักของสองคนที่ผ่านมาถูกใส่เข้ามาในฉากนี้พอดี ภาพแห่งความหลังก็ผุดขึ้นมา...จนกระทั่งดวงใจรู้แล้วว่า เธอยังคงอยู่ในหัวใจของกฤษฎาตลอดเวลา... เขายังรักฉันอยู่..เขารักยังดวงใจอยู่... เป็นเสียงที่ดวงใจบอกกับเสาวรศ.. แล้วเธอจะบอกเขาไหมว่า เธอคือ ดวงใจ...ไม่.. ไม่.. ดวงใจบอกพร้อมกับว่า ไม่อยากให้เขารู้ว่า ดวงใจของเขาไม่บริสุทธิ์สำหรับเขาแล้ว...แล้วเธอจะทำอย่างไร...ดวงใจไม่ตอบ ได้แต่วิ่งออกจากบ้านไป.. แล้วหนังก็ตัดไปให้เห็นว่า ดวงใจนั่งรถเก๋งคันโตออกไป... ภาพหยุดนิ่ง พร้อมกับมีตัวหน้งสือขึ้นมาว่า หนังจบ... แต่จริงๆ กลับไม่จบเพราะนายแพทย์เมตตาพร้อมด้วยเขมิกาเดินเข้ามาหากฤษฎา..มาเล่าบอกความจริงว่า กฤษฎาจะแต่งงานกับเขมิกาไม่ได้เพราะเป็นลูกสาว..และผู้หญิงที่กฤษฎามากินข้าวด้วยในวันนี้ก็คือ ดวงใจ แม่ของเขมิกานั่นเอง...ว่าแล้ว ทุกคนก็บอกว่า จะไปตามหาดวงใจ....คราวนี้หนังก็จบจริงๆ....

                ตอนนั้น ผมนั่งดูเทปหนังเรื่องนี้หลายรอบ..ชอบเพลงเอกของเรื่องมากๆ เพราะดนตรีและเสียงร้องได้อารมณ์จริง ๆ ส่วนไชยานั้นก็แสดงได้สมบทบาทมาก นัยนาก็เล่นแบบสุดๆไปเลย.. ดูไป ก็ได้แต่คิดว่า ถ้าผมเป็นไชยา ผมจะทำอย่างไรกับความรักที่ต้องพลัดพรากและต้องมาเจอกันอย่างนี้ ทีแรกก็เอะใจว่า ทำไมไชยาจึงจำเมียรักของตนเองไม่ได้ ก็หาคำตอบได้ว่า เพราะไชยาเชื่อว่า เมียตนเองตายไปแล้ว ประกอบกับหญิงที่ตนเองพบนั้น สวยและสูงศักดิ์เหลือเกินเกินหญิงชาวบ้านแถมเวลาผ่านไปเป็น 20 ปีแล้ว ก็เลยจำเมียไม่ได้.. แต่มาคิดในมุมกลับ หากผมลองเป็นนัยนาดูบ้าง.. ผมจะตัดสินใจจากไปหรือไม่.. สิ่งหนึ่งที่ทำให้คิดหนักก็คือ แหวนทองเหลือง ที่เห็นไชยาสวมไว้ตอนถูกรถเชี่ยวชน แค่นั่นก็รู้ได้ว่า ชายผู้นั้นยังมีเราอยู่ในหัวใจ..ยังตามหาเรา.. แต่เพราะชีวิตเรามันช่างสกปรกสิ้นดี..จึงดูไร้ค่าและเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะเหนี่ยวรั้งกฤษฎาไว้กับเรา สู้ปล่อยให้กฤษฎาไปรักกับเด็กสาวรุ่นๆ จะดีกว่า เข้าทำนอง รักแท้ต้องเสียสละ..

                แต่ถ้าคิดว่า เหตุที่ชีวิตของดวงใจต้องตกระกำลำบาก ต้องไปเป็นขอทาน ไปเป็นหญิงโสเภณี ไปเป็นเมียเช่า ก็เพราะการออกตามหากฤษฎาคนรักมิใช่หรือ.. แล้วทำไม ต้องให้ดวงใจถึงได้รับกรรมถึงเพียงนี้ สู้ให้เธอสมหวังไม่ได้หรือ... อย่างน้อยๆ ก็ดูจะยุติธรรมสำหรับเธอบ้าง...ว่าแต่ท่านละครับ คิดอย่างไร.. .หนังเรื่องนี้มีความยาวเกือบ 4 ชั่วโมง..แต่กลับไม่รู้สึกเบื่อ..เรื่องราวของความรัก คำมั่นสัญญา..กับวันเวลาแห่งการรอคอย..คอยจนได้เจอ แต่อะไรทำความรักของดวงใจ สาวงามแห่งดอยติคนนี้ไม่สมหวัง...แต่วันนี้ ก็ต้องดูกันแบบย่อสุด ๆ

<iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/JvMkfA5rJFY?fs=1&start=" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
แหวนทองเหลือง [2516] HL

เพราะนี่ก็คือ หนึ่งในโครงการภาพยนตร์ไทยคงเหลือ แหวนทองเหลือง ปี 2516 ซึ่งท่านจะได้ชม ณ บัดนี้..





คลิ๊กดูหนังได้เลยครับ
แหวนทองเหลือง ปี 2516

 

<iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/5Qkjuu10Ahs?fs=1&start=" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

.........................................













« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14 มีนาคม 2014, 05:12:43 โดย นายเค »


ฉัตรชัย สุวรรณโสภา 
88/1 ม.4 ต.บางโตนด อ.โพธาราม จ.ราชบุรี 70120   
E-mail chatchai_suw@hotmail.com    โทร 081-7636195 
ต่อพงศ์ภาพยนต์ ระบบ 35 ม.ม.  ฉัตรชัยภาพยนตร์ กลางแปลงย้อนยุค 16 ม.ม.
ธ.ไทยพาณิชย์  สาขาบิ๊กซีราชบุรี ชื่อบัญชี ฉัตรชัย สุวรรณโสภา  หมายเลขบัญชี  940-202235-1