• ชื่อไทย : ทรอน: แอรีส
• ปีที่เปิดตัว : 2568
• เข้าฉายในไทย : 9 ตุลาคม 2568
• นำแสดง : Jared Leto, Greta Lee, Evan Peters
• กำกับโดย : Joachim Ronning
• เขียนโดย : Jesse Wigutow, David DiGilio, Steven Lisberger, Bonnie MacBird
• ประเภท : Action / Adventure / Sci-Fi
• ความยาว : 119 นาที
• เรต : PG-13
• สร้างโดย : USA
• จำหน่ายโดย : Walt Disney Studios Thailand
เรื่องย่อ Tron: Ares ทรอน แอรีส เส้นทางนี้จะไม่มีทางหวนกลับ !! สองโลกจะรวมกัน พบกับการกลับมาของหนังไซไฟ-แอ็คชั่นสุดล้ำจากดิสนีย์ Tron: Ares ทรอน: แอรีส 9 ตุลาคม นี้ ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น
เตรียมมันส์ไปกับสงครามระหว่างมนุษย์และนักรบเอไอสุดอัจฉริยะ ใน Tron: Ares ทรอน แอรีส หนังภาคต่อที่แฟน ๆ รอคอย ซึ่งถือเป็นภาคที่ 3 ของแฟรนไชส์หนังไซไฟระดับตำนาน Tron (1982) และ Tron: Legacy (2010) หลังจากทิ้งช่วงไปนานถึง 15 ปี โดยในครั้งนี้ จาเรด เลโต รับบทเป็น "อาเรส" โปรแกรมอัจฉริยะจากโลกดิจิทัลที่ทะลุเข้าสู่โลกแห่งความจริง พร้อมภารกิจเสี่ยงตายที่อาจเปลี่ยนแปลงมวลมนุษยชาติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ซึ่งก่อนหน้านี้หนัง Tron: Ares ก็สร้างความฮือฮามาแล้วจากการปรากฏตัวในงาน D23 กับการเปิดตัว จาเรด เลโต ในบท อาเรส ที่ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับ Lightcycle ในตำนาน ที่เราจะได้เห็นกันเต็ม ๆ ในตัวอย่างแรกที่เพิ่งถูกปล่อยออกมานี้เอง ก่อนที่ทั่วทั้งฮอลล์จะกระหึ่มไปด้วยเสียงและแสงเลเซอร์ที่กรีดไปบนจอภาพ พร้อมเปิดตัวเพลงประกอบโดย Nine Inch Nails นั่นเอง
หลังจากห่างหายไปกว่าทศวรรษ Tron: Ares ทรอน แอรีส จะพาผู้ชมกลับสู่โลกดิจิทัลสุดล้ำอีกครั้ง กับการเผชิญหน้ากันครั้งแรกระหว่างมนุษย์กับเอไอ เมื่อปัญญาประดิษฐ์ที่มีความซับซ้อนสูงอย่าง อาเรส (Jared Leto) ถูกส่งมาทำภารกิจสุดอันตรายในโลกจริง การได้สัมผัสกับสิ่งรอบตัวและมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ ทำให้จิตสำนึกและมโนธรรมของเขาเริ่มพัฒนาขึ้น ในขณะที่ต้องทรยศต่อคำสั่งและถูกตามล่าอย่างไม่ลดละ จนเกิดเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และเพื่ออนาคตที่เทคโนโลยีและมนุษยชาติจะสามารถอยู่ร่วมกันได้
หนัง Tron: Ares บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร ใน Tron: Ares พาไปตามติดเรื่องราวของ อาเรส โปรแกรมปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะที่มีความคิดซับซ้อน ซึ่งถูกส่งจากโลกดิจิทัลเข้าสู่โลกความเป็นจริงเพื่อทำภารกิจอันตรายบางอย่าง จนทำให้เกิดการเผชิญหน้ากันเป็นครั้งแรกระหว่างมนุษยชาติและปัญญาประดิษฐ์ที่มีตัวตน โดยตัวอย่างหนังเปิดมาด้วยฉากไล่ล่าที่ตื่นเต้นเร้าใจระหว่างโปรแกรมหลบหนีและตำรวจบนถนนไฮเวย์ด้วยความเร็ว ที่แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีล้ำยุคอย่างมอเตอร์ไซค์ไฮเทคที่ปล่อยเลเซอร์ทำลายรถตำรวจได้อย่างง่ายดาย พร้อมกับประโยคปิดท้ายที่เป็นเสียงของ เควิน ฟลินน์ ที่ว่า "พร้อมมั้ย ? มันย้อนกลับไม่ได้นะ"
เจฟฟ์ บริดเจส กลับมารับบท เควิน ฟลินน์ ตัวละครจากภาพยนตร์ต้นฉบับปี 1982 และยังมีนักแสดงสมทบมากมาย เช่น เกรตา ลี, อีแวน ปีเตอร์ส, โจดี้ เทอร์เนอร์-สมิธ, คาเมรอน โมนาแฮน, ฮาซัน มินฮาจ และจิลเลียน แอนเดอร์สัน
Tron: Ares นักแสดงมีใครบ้าง• จาเรด เลโต (Jared Leto)
• เกรตา ลี (Greta Lee)
• อีแวน ปีเตอร์ส (Evan Peters)
• ฮาซัน มินฮาจ (Hasan Minhaj)
• โจดี้ เทอร์เนอร์-สมิธ (Jodie Turner-Smith)
• อาร์ทูโร แคสโตร (Arturo Castro)
• คาเมรอน โมนาแฮน (Cameron Monaghan)
• จิลเลียน แอนเดอร์สัน (Gillian Anderson)
• เจฟฟ์ บริดเจส (Jeff Bridges)
หนังได้ โยอาคิม รอนนิง (Joachim Rønning) รับหน้าที่กำกับ และอำนวยการสร้างโดย Sean Bailey, Jeffrey Silver, Justin Springer, Jared Leto, Emma Ludbrook และ Steven Lisberger Tron: Ares วางกำหนดฉายไว้ 9 ตุลาคม 2025
รีวิวหนัง "Tron: Ares ทรอน แอรีส" (ซาวน์)อลังการของเฟรนไชส์ไซไฟที่ยืนหนึ่งความคงกระพัน ถ้าหากว่าฝั่งญี่ปุ่นจะมีอนิเมะต่อสู้ในจักรวาลอันเป็นปึกแผ่นและเปี่ยมไปด้วยความคลาสสิก ฝั่งอเมริกาน่าจะมีจักรวาลนี้ที่พอจะต่อกรได้ จักรวาลหนังทรอน เฟรนไชส์หนังที่เรืองรองอยู่ในวงการหนังยาวนานมากว่า 40 ปี ที่แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการป้อนคอนเทนท์ออกมาต่อเนื่อง แต่ก็ยังหาลู่ทางกลับมาได้เสมอ ปีนี้คัมแบ็กมาใน "Tron: Ares ทรอน แอรีส" บทการต่อสู้ผจญภัยครั้งใหม่ที่ยังเปิดสวิตซ์เชื่อมต่อจักรวาลที่คุ้นเคยอีกครั้ง ที่หวังจะมาเติมเต็มและเติมไฟแห่งโลกดิจิทัลและโลกเอไอให้เรืองรองครั้งใหม่
เมื่อโปรแกรมปัญญาประดิษฐ์อันมีความคิดซับซ้อนที่มีชื่อว่า แอรีส ถูกส่งตัวจากโลกดิจิทัลมายังโลกแห่งความจริงเพื่อทำภารกิจอันตรายบางอย่าง กลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดขึ้นเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งแรกระหว่างมนุษยชาติและปัญญาประดิษฐ์ที่มีตัวตน ที่อุบัติครั้งนี้อาจจะเป็นการจุดไฟสงครามระหว่างสองเผ่าพันธุ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยมีชะตากรรมของโลกเป็นเดิมพันที่ท้าทาย
โดยในภาคนี้ดิสนีย์ได้กลับมาเรียกใช้บริการผู้กำกับชาวนอร์เวย์ที่คุ้นเคยกันดี "โยอาคิม รอนนิง" ผู้ที่ญาติดีกับดิสนีย์มาหลายผลงาน อย่าง Pirates of the Caribbean: Dead Men Tell No Tales หรือ Maleficent: Mistress of Evil ที่น่าจะเป็นผู้กำกับที่สตูดิโอไว้วางใจด้วยดี นั่นจึงทำให้เขาสามารถละเลงใส่วิสัยทัศน์ได้อย่างเต็มเปี่ยม อัปเกรดความตื่นตาตื่นใจในองค์ประกอบของเฟรนไชส์นี้ พร้อมทั้งเซอร์วิสแฟน ๆ ได้อย่างจึ้งใจด้วยรายละเอียดงานสร้างที่ชวนอ้าปากค้างในทุกซีน

แต่ปัญหานิดหน่อยติดอยู่ตรงที่บทหนังและสตอรี่ของหนังเรื่องนี้ เพราะกลายเป็นว่าบทหนังของ "เจสซี วิกูทอว์" (จากซีรีส์ Daredevil: Born Again) ยังค่อนข้างติดอยู่ในโหมดเพลย์เซฟมากไปสักหน่อย บนพื้นฐานของบทหนังที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ แต่กลับยังเป็นความยิ่งใหญ่ในระดับที่สร้างอิมแพคระดับที่เบาบางกว่างที่คิด อาจจะเพราะหนังมาพร้อมกับตัวละครที่ต้องแนะนำใหม่ ไม่ต่างกับเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง และน่าเสียดายที่เฟรนไชส์หนังที่ยาวนานกว่า 40 ปีเรื่องนี้ ถึงจะเก่าแก่แต่เต็มไปด้วยรอยต่อเยอะไป กลายเป็นจุดที่บั่นทอนที่ต้องมาหาจุดเชื่อมต่อเฟรนไชส์ทุกครั้งที่กลับมา ค่อนข้างเป็นจุดที่เสียเวลาโดยใช่เหตุ..แต่ก็เลี่ยงไม่ได้
รอยต่อและช่องว่างของเฟรนไชส์หนังนั่นเอง ที่กลายมาเป็นชาเลนจ์ที่ท้าทายของหนังเรื่องนี้ เพราะภาคแรกเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 1982 แล้วกลับมาสานต่อในปี 2010 จากนั้นก็ยังทิ้งช่วงห่างไป 15 ปี แล้วกลับมาใน Tron: Ares ครั้งนี้ กลายเป็นว่าระยะวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา มีหนังเพียงแค่ 3 ภาค ที่แทบจะมีแฟนหนังคนละเจเนอเรชันกันทั้งสิ้น และเต็มไปด้วยฟองอากาศที่เกิดขึ้นระหว่างหนังแต่ละภาค ที่เป็นจุดด้อยที่ท้าทายให้แฟนหนังจูนไม่ติด ทั้งแฟนดั้งเดิมและแฟนกลุ่มใหม่ ที่แน่นอนว่าอาจจะยังงง ๆ หรือไม่อินไปด้วยจักรวาลดิจิทัลและโลกในเดอะกริดที่ยังชวนเกาหัวอยู่ไม่น้อย

โปรดักชันดีไซน์และวิชวลเอกเฟกต์ต่าง ๆ ใน Tron: Ares ยังคงเซอร์วิสใส่เต็มแบบไม่ยั้ง นี่น่าจะเป็นจุดที่เฉิดฉายสุด ๆ ของหนังเรื่องนี้แล้ว เพราะภาคนี้ยังคงได้ "ดาร์เรน กิลฟอร์ด" ทีมอาร์ตมือหนึ่งของวงการที่เคยรังสรรค์ Tron: Legacy กลับมาร่วมงานอีกครั้ง พร้อมทั้งยังมีทีมวิชวลฝีมือดีแห่งยุค อย่าง Industrial Light & Magic และ Image Engine ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการหนังฮีโรของมาร์เวลยุคนี้ทั้งสิ้น กลายออกมาเป็นกิมมิกงานสร้างที่ตระการตา เหมาะเจาะกับดูบนจอใหญ่ยักษ์ในโรง IMAX มาก เป็นการเซอร์วิสแฟนได้อย่างเติมเต็ม ถึงแม้ว่าบางมุมบางจุดจะค่อนข้างเซอร์วิสเกินไปหน่อย แต่เป็นการเติมเต็มที่ค่อนข้างสมบูรณ์ดี
และที่โดดเด้งเปล่งประกายออกมาเหนือกว่าสิ่งใดใน Tron: Ares ก็คงจะเป็นซาวน์ประกอบและซาวน์ดนตรีที่นับว่าเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่หนังเรื่องนี้นำมาเป็นจุดเด่น ที่ในภาคนี้ได้วงร็อกในตำนาน Nine Inch Nails มาประพันธ์เพลงประกอบให้ กลายออกมาเป็นซาวน์อิเล็กทรอนิกส์อันเป็นเอกลักษณ์ ผนวกเขากับจังหวะร็อกบีทปัง ๆ ที่เลือกจะผสมผสานรีมิกซ์เข้ากับเพลงประกอบเกมจากต้นฉบับ ทำให้มีกลิ่นอายความร่วมสมัยที่นำเอาซาวน์ดัดแปลงมาแจมเข้ากับดนตรีแห่งยุค 80s ได้อย่างกลมกล่อม ละมุนมากจนบางทีก็เด้งรุกล้ำส่วนอื่น ๆ ของหนังแบบเกินหน้าเกินตาไปสักนิด
ทางฝั่งการแสดงที่ดูเหมือนว่าภาคนี้ค่อนข้างเป็นการแนะนำและเปิดตัวตัวละครใหม่แทบจะทั้งหมด "จาเรด เลโต" ก็ยังคงฉายแสงฉายแววเปล่งประกายการเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทเบอร์ต้น ๆ ของฮอลลีวูดอย่างถ่องแท้ นี่คือชายวัยกลางคนวัยหลักห้าที่ยังขึงขังและสตรองด้วยพลังทางการแสดง ถึงคาแรกเตอร์นี้ของเขาอาจจะไปซ้ำ ๆ กับบทบาทเก่า ๆ ที่เขาเคยรังสรรค์เอาไว้ในอดีตไปบ้างสักหน่อย แต่เขาก็ตีความและโชว์ศักยภาพออกมาในทิศทางที่ประคับประคองตัวหนังเอาไว้ได้อย่างมีพลัง
นี่น่าจะเป็นการแสดงในหนังระดับบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มใหญ่เรื่องแรก ๆ ของ "เกรต้า ลี" ที่ยอมรับว่าก็แอบรู้สึกเป็นกังวลว่าพลังการแสดงของเธอ ที่สั่งสมประสบการณ์มาจากหนังอินดี้ฟอร์มเล็ก ๆ มาโดยตลอด จะขับเคลื่อนไหวหรือไม่ เมื่อต้องมายืนหยัดเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นของหนังเรื่องนี้ กลายเป็นเธอสามารถพรั่งพรูทางการแสดงออกมาได้ค่อนข้างเปล่งประกายดี แม้จะยังดูเก้ง ๆ กัง ๆ อยู่บ้างเล็กน้อย แต่กลายเป็นว่าลีลาแอคติ้งของเธอส่งเสริมกันไปด้วยดีเมื่อต้องเข้าฉากกับจาเรด เป็นการส่งเสริมพลังแอคติ้งให้กันและกันได้อย่างน่าพึงพอใจทีเดียว
รวมทั้งยังมีทีมนักแสดงสมทบที่ชวนจึ้งและประทับใจดี ไม่ว่าจะเป็น "อีแวน ปีเตอร์ส" ยังคงมอบการแสดงแบบจ้างร้อยเล่นล้าน ที่บียอนด์บทบาทการแสดงในคาแรกเตอร์ได้อย่างทำถึง "โจดี้ เทอร์เนอร์-สมิธ" สาวนักรบเอไอที่ขึงขังทรงพลัง ร่วมด้วย "ฮาซาน มินฮาจ์", "จิลเลียน แอนเดอร์สัน", "อาร์ทูโร แคสโทร" และตำนาน "เจฟฟ์ บริดเจ็ท" ที่กลับมาให้หายคิดถึงและยังเป็นหนึ่งในไอคอนที่ต้องยังคงอยู่ประจำเฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ตลอดไป
โดยภาพรวมแล้ว Tron: Ares เป็นการคัมแบ็กกลับมาที่เติมเชื้อไฟของเฟรนไชส์หนังเรื่องนี้ให้กลับมาเรืองรองอีกครั้งอย่างมีนัยยะ องค์ประกอบงานสร้างยังโดดเด่นและยิ่งใหญ่ตระการอีกเช่นเคย เป็นการพัฒนาและยกระดับขึ้นจากสิ่งที่เคยสร้างสรรค์เอาไว้จากภาคที่แล้ว แต่โครงสร้างบทหนังอาจจะยังไม่หนักแน่นและยิ่งใหญ่เพียงพอที่จะชูเด่นขึ้นมาในระดับที่สมบูรณ์แบบ เพราะยังมีจุดบกพร่องและข้อด้อยติดขัดในส่วนของทรีเมนต์บทหนังที่ไม่สามารถเชื่อมต่อเข้ากับจักรวาลหนังได้อย่างหนักแน่น อุปสรรคคือช่วงระยะเวลาที่ทำให้เกิดรอยต่อระหว่างเฟรนไชส์หนังนั่นเอง