กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: [1] 2 3 ... 10
1

• ชื่อไทยย : อ่านชะตาวันสิ้นโลก
• ปีที่เปิดตัวย : 2568
• เข้าฉายในไทยย : 24 กรกฎาคม 2568
• นำแสดงย : Ahn Hyo-Seop, Lee Min-Ho, Chae Soo-Bin
• กำกับโดยย : Kim Byung-Woo
• เขียนโดยย : Sing Shong
• ประเภทย : Action / Fantasy
• ความยาว : 116 นาที
• สร้างโดย : South Korea
• จำหน่ายโดย : Mongkol Major มงคล เมเจอร์


เรื่องย่อ Omniscient Reader: The Prophecy อ่านชะตาวันสิ้นโลก

          Omniscient Reader: The Prophecy จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อโลกที่คุณอยู่กลายเป็นนิยายที่คุณอ่านมาทั้งชีวิต... และคุณคือคนเดียวที่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง !

          ใครที่เป็นแฟนสายแฟนตาซี-แอ็คชั่นบอกเลยว่าห้ามพลาด ! Omniscient Reader: The Prophecy หนังฟอร์มยักษ์สร้างจากนิยายออนไลน์เรื่องดัง "มุมมองนักอ่านพระเจ้า" ที่มียอดอ่านทะลุ 200 ล้านครั้งทั่วโลก โดยจะพาคุณดำดิ่งสู่โลกในนิยายที่คุณอ่านมาทั้งชีวิตให้กลายเป็นความจริงตรงหน้า ! กับเรื่องราวสุดเข้มข้นนี้ก็ได้นักแสดงแถวหน้าของวงการมาร่วมประชันบทบาท นำทีมโดย อีมินโฮ, อันฮโยซอบ, แชซูบิน, ชินซึงโฮ, นานะ, จีซู (BLACKPINK) และควอนอึงซอง มาดูกันว่าหนังเรื่องนี้มีอะไรน่าสนใจ และแต่ละตัวละครมีคาแรกเตอร์แบบไหนกันบ้าง

          เมื่อระบบปริศนาเปิดใช้งานผู้คนถูกบังคับเข้าสู่ด่านทดสอบเพื่อเอาชีวิตรอด เหล่ามนุษย์ต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่โหดร้ายเกินคาดเดา หากเอาชนะไม่สำเร็จ บทลงโทษคือ ความตาย เท่านั้น เรื่องราวทั้งหมดนี้มีเพียง คิมดกจา (อันฮโยซอ) เท่านั้นที่รู้ว่าจะผ่านมันไปได้อย่างไร เพราะ เขาคือผู้อ่านคนเดียวที่รู้ตอนจบของเรื่องนี้ จากคนอ่านนิยายกลายเป็นผู้พลิกชะตาโลก เขา คือความหวังเดียวที่จะเปลี่ยนจุดจบของโลกใบนี้ คิมดกจา ต้องใช้สติปัญญา ไหวพริบ และความกล้าหาญนำพาผู้รอดชีวิตฟันฝ่าด่านทดสอบเพื่อสร้างตอนจบที่ไม่เคยถูกเขียนไว้


ตัวอย่างหนัง


ตัวอย่างแรก OMNISCIENT READER: THE PROPHECY


Omniscient Reader: The Prophecy - Teaser Trailer [ซับไทย]


Omniscient Reader: The Prophecy อ่านชะตาวันสิ้นโลก - Official Trailer [ตัวอย่างซับไทย]


Omniscient Reader: The Prophecy อ่านชะตาวันสิ้นโลก - Official Trailer [ตัวอย่างซับไทย]


จากมหากาพย์เรื่องราว สู่ความอลังการบนจอภาพยนตร์ | Omniscient Reader: The Prophecy อ่านชะตาวันสิ้นโลก


ปรากฏการณ์แอ็กชัน-แฟนตาซี บล็อกบัสเตอร์แห่งปี | Omniscient Reader: The Prophecy


ภาพนิ่ง โปสเตอร์ Omniscient Reader: The Prophecy (2025)

 
 
 
 
 



ภาพโปสเตอร์












2

• ชื่อไทย : ทรชนคนสองหน้า
• ปีที่เปิดตัว : 2568
• เข้าฉายในไทย : 26 มิถุนายน 2568
• นำแสดง : Kang Ha-Neul, Yu Hae-Jin, Park Hae-Joon
• กำกับโดย : Hwang Byeng-Gug
• ขียนโดย : Kim Hyo-Seok
• ประเภท : Action / Crime / Drama
• ความยาว : 122 นาที
• สร้างโดย : South Korea
• จำหน่ายโดย : เอ็ม พิคเจอร์ส M Studio


เรื่องย่อ Yadang: The Snitch ทรชนคนสองหน้า

          เรื่องราวของ อีคังซู (คังฮานึล) ที่ทำอาชีพ ยาดัง เป็นสายสืบตัวล่อที่นำข้อมูลลับเกี่ยวกับโลกของการค้ายามาแจ้งเบาะแสแก่อัยการและตำรวจ ในการจับกุมคดียาเสพติดในงานปาร์ตี้มีบุคคลรุ่นที่ 2 ของเหล่าผู้มีอิทธิพลเข้าร่วมด้วย ยาดังผู้มากประสบการณ์ต้องทำทุกทางไม่ใช่แค่เพื่อไปสู่จุดสูงสุดเพียงแค่นั้น แต่ต้องมีชีวิตรอดด้วย

          บ่อยครั้งที่ความบันเทิงของหนังฝั่งเกาหลี มักจะมาในรูปแบบที่แฝงด้วยประเด็นอาชญากรรม ที่ทำให้ความหนักหน่วงในประเด็นเดือด ๆ ดูผ่อนคลายความระอุลงได้ กลายเป็นอีกหนึ่งสูตรที่ประสบความสำเร็จบ่อย ๆ ในแง่หนังแอคชันตลกจากแดนกิมจิในสมัยนี้ และ "Yadang: The Snitch ทรชนคนสองหน้า" ก็คือหนังจากโคเรียนเรื่องล่าสุดที่พกความทะเล้นสุดขึงขังนี้มาตีไข่และตอบโจทย์ให้กับแฟน ๆ ได้บันเทิงกันอย่างถ้วนหน้า

          อีกังซู อาชญากรหนุ่มต้องโทษได้รับข้อเสนอจากอัยการ กูกวันฮี ให้เขาเป็นยาดังให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อแลกกับการลดโทษที่เขาต้องชดใช้อยู่ เขาจึงรับข้อเสนอและชีวิตในการเป็นยาดังของเขาก็รุ่งโรจน์ขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่นั่นก็ทำให้ โอซางแจ เจ้าหน้าที่สายสืบหน่วยปราบปรามยาเสพติดไม่ค่อยพอใจกับวิธีการนี้ เพราะทำให้แนวทางการสืบสวนของเขาเผชิญหน้ากับความล้มเหลวอยู่หลายครั้ง ทำให้เขาเริ่มที่จะขุดคุ้ยความโยงใยในสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างอัยการหนุ่มและยาดังตัวจี๊ด ว่าจริง ๆ แล้วมันมีอะไรแอบซ่อนอยู่กันแน่

          หนังเป็นผลงานล่าสุดของนักแสดงตัวประกอบและตัวขโมยซีนในหนังเกาหลีดัง ๆ หลายเรื่อง อย่าง "ฮวังบยองกุก" ที่ถือว่าห่างหายไปจากการจับงานสร้างหนังไปกว่า 10 ปี เพราะเหมือนประชดที่เป็นผู้กำกับแล้วไม่ค่อยรุ่ง ทำให้หลังจากที่เคยสร้างหนังบู๊ SIU ฉายในปี 2011 เป็นต้นมา เขาก็หันมาเอาดีกับการแสดงอยู่หน้ากล้องแทน มีผลงานเป็นบทสมทบเล็ก ๆ ใน Veteran, Tunnel หรือ V.I.P. กว่าจะเรียกความมั่นใจให้กับมาสร้างหนังได้อีกครั้ง

          ซึ่งก็ดูเหมือนว่าการเพาะบ่มเก็บประสบการณ์อยู่หน้ากล้องของเขาก็ทำให้สะท้อนออกมาถึงวิสัยทัศน์ที่แจ่มจรัสยิ่งขึ้น กลายเป็นว่า Yadang: The Snitch เรื่องนี้ ได้กลายมาเป็นผลงานคัมแบ็กสร้างหนังด้วยแพสชั่นที่ค่อนข้างไหลลื่นไปด้วยทีเดียว ถึงแม้ว่าพล็อตเรื่องและท่วงท่ามันจะไม่ได้สร้างความแปลกใหม่ใด ๆ สักเท่าไหร่ แต่ลีลาของหนังเรื่องนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทำได้จึงและทำได้ถึง..ของแทร่ กลายมาเป็นอีกหนึ่งอาชญากรรมปนฮาสไตล์ชายแทร่ที่ค่อนข้างเวิร์ก

          บอกตามตรงเลยก็ได้ว่า Yadang: The Snitch ค่อนข้างจะใช้สูตรแบบเดียวกับหนังตระกูล The Roundup ของพี่เบิ้ม มาดงซอก ที่ปังต่อเนื่องมาหลายภาค เส้นเรื่องอาชญากรรม โยงใยกับวงการกฏหมายและการเมือง ที่จริง ๆ แทบจะไม่ให้อะไรที่สดใหม่กับคนดูมากนัก แต่ทิศทางในการจับทางและเล่าเรื่องของหนังเรื่องนี้ ปล่อยจอยไปกับคนดูได้อย่างเต็มหมัดเต็มเหนี่ยว เป็นหนัง 2 ชั่วโมงเต็ม ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อหาที่ชวนติดตามและชวนลุ้นพลิกขั้วสถานการณ์แบบเฉือนคมนิ่ม ๆ ได้ดี

          จะว่าไปแล้ว Yadang: The Snitch ก็แทบจะไม่มีอะไรที่โดดเด่นอะไรเลยด้วยซ้ำในแง่องค์ประกอบงานสร้าง เพราะทุกซีนทุกฉากล้วนแต่ถ่ายทอดออกมาตามมาตรฐานหนังเกาหลีแนวนี้ทั่วไปที่เห็นได้บ่อย ๆ ฉากแอคชันต่อสู้ในเรื่องนี้ก็ไม่ได้เน้นอะไรมากนัก แต่ก็ถึงแก่นถึงใจกับฉากอาชญากรรมต้องห้ามที่ชวนจึ้งเกินไปอยู่บางฟีล ชนิดที่ก็อยากจะเตือนว่ามีหลายฉากที่ไม่ค่อยเหมาะสมและมีภาพที่ล่อแหลมรุนแรงเกินไปเสียด้วยซ้ำ

          แต่ที่ร้อยเรียงสาธยายมาทั้งหมดนั้น คุณผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าเป็นคำชมที่ไม่เห็นจะชมแบบเต็มปาก ก็เพราะว่าไฮไลต์เด่นของหนังเรื่องนี้มันอยู่ที่การรับมืออย่างมืออาชีพของทีมนักแสดงนั่นเอง บอกเลยว่าแคสติ้ง..โคตรจะเหมาะเจาะ ได้ 3 นักแสดงชายที่ต่างมีคาแรกเตอร์ในตัวเองเป็นอย่างดี มารับมือกับบทบาทที่พวกเขาทำได้ถึงและยังทำออกมาได้ดีเช่นเดียวกัน จึงกลายเป็นส่วนประกอบที่ดีเด่นสุด ๆ ในแง่การขับเคลื่อนตัวหนังออกอรรถรสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          นี่อาจจะไม่ใช่บทบาทที่ใหม่ใด ๆ ของ "คังฮานึล" เขาคือพระเอกเจ้าบทบาทที่เล่นดรามาก็ได้ เล่นตลกก็ดี เล่นทะเล้นทะทึ่งกวนเท้าก็ไหลลื่น นี่จึงเหมือนบทหนังที่เกิดมาเพื่อเขาจริง ๆ และเขาก็รับมือและนำโรงในการถ่ายทอดบทบาทนี้ออกมาได้อย่างถึงแก่น ยิ่งมาผนวกเข้ากับรุ่นพี่ "ยูแฮจิน" กับ "พัคแฮจุน" ชนิดที่ไม่มีใครยอมใครในแง่ลีลาทางการแสดง เป็นทั้งการพลิกขั้วพลิกคาแรกเตอร์และใส่มิติต่าง ๆ เข้ามาในบทของพวกเขาได้อย่างถึงอารมณ์ เป็นส่วนที่คนดูจะเพลินไปกับมาดทางการแสดงของพวกเขาเป็นอย่างดี และเป็นส่วนหลักที่ทำให้หนังเรื่องนี้..ปัง!

          โดยภาพรวมแล้วนั้น Yadang: The Snitch ก็คือสูตรสำเร็จที่ประสบความสำเร็จอีกครั้งของหนังแนวอาชญากรรมแอคชันตลกจากเกาหลี ที่โดดเด่นด้วยลีลาการทำการแสดงของทีมนักแสดงหลักของเรื่อง ที่ช่วยขับเคลื่อนทำให้สไตล์การเล่าเรื่องไหลลื่นไปตลอดเรื่องด้วยดี ครึ่งแรกเป็นของหวาน แต่ครึ่งหลังเป็นยาพิษรสอร่อย เป็นกิมมิกที่สรรค์สร้างจังหวะหนังออกมาได้ตอบโจทย์คนดูได้อย่างดีงาม แล้วอาจจะทำให้คนดูหลงรักหนังเรื่องนี้และนักแสดงเรื่องนี้ไปได้ไม่ยากเย็นนัก




ตัวอย่างหนัง Yadang: The Snitch


“ทรชนคนสองหน้า Yadang: The Snitch” | OFFICIAL TRAILER เสียงไทย


ทรชนคนสองหน้า Yadang: The Snitch | OFFICIAL TRAILER ซับไทย


เดือดไปกับสุดยอดภาพยนตร์แอคชั่น-อาชญากรรมอันดับ 1 จากเกาหลี | “ทรชนคนสองหน้า Yadang: The Snitch”


ทุกเสียงต่างยืนยัน ว่านี่คือภาพยนตร์แอคชั่นที่เดือดแบบจัดเต็ม! | “ทรชนคนสองหน้า Yadang: The Snitch”


เจาะลึกตัวละครจากภาพยนตร์ "ทรชนคนสองหน้า Yadang: The Snitch"


รีวิวดีขนาดนี้ ต้องห้ามพลาด!! | “ทรชนคนสองหน้า Yadang: The Snitch”



ภาพนิ่ง โปสเตอร์ Yadang : The Snitch (2025)

 
 
 
 
 


ภาพโปสเตอร์















3
ขาย 540฿...(พร้อมส่ง)
ล็อตนี้ที่เอามาเหลือเท่านี้จริงๆ ราคานี้ถือว่าคุ้มจัดไปครับสนใจ 081-2697099.
4
AnnaSophia Robb: นักแสดงสาวมากความสามารถที่เปล่งประกายในฮอลลีวูด

           AnnaSophia Robb เป็นนักแสดงและนางแบบชาวอเมริกันที่เป็นที่รู้จักจากเสน่ห์สดใสและฝีมือการแสดงที่หลากหลาย เธอเกิดเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1993 ที่เมืองเดนเวอร์ รัฐโคโลราโด และเริ่มต้นเส้นทางในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเริ่มจากการถ่ายโฆษณาก่อนจะก้าวเข้าสู่วงการภาพยนตร์

           บทบาทที่สร้างชื่อให้เธอคือเรื่อง Because of Winn-Dixie ในปี 2005 และต่อมาคือ Bridge to Terabithia ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งทางอารมณ์และการถ่ายทอดบทบาทอันโดดเด่นของเธอ ทั้งผู้ชมและนักวิจารณ์ต่างชื่นชมความละเอียดอ่อนและความเข้มแข็งที่เธอนำมาใส่ในตัวละคร

           เธอยังแสดงได้อย่างน่าประทับใจในภาพยนตร์ Soul Surfer โดยรับบทเป็นนักโต้คลื่นตัวจริง Bethany Hamilton ซึ่งทำให้เธอได้รับเสียงชื่นชมจากความทุ่มเทและการแสดงที่สมจริง

           ในวงการโทรทัศน์ AnnaSophia ก็ฝากผลงานไว้เช่นกัน โดยเฉพาะบท “Carrie Bradshaw” วัยรุ่นในซีรีส์ The Carrie Diaries ด้วยบุคลิกสดใส ความตั้งใจ และพรสวรรค์ตามธรรมชาติ ทำให้เธอกลายเป็นที่รักของผู้ชมและมีชื่อเสียงในวงการฮอลลีวูด

นอกเหนือจากงานแสดง เธอยังมีบทบาทในกิจกรรมเพื่อมนุษยธรรม สนับสนุนความยุติธรรมทางสังคมและการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยใช้ชื่อเสียงของตนเป็นกระบอกเสียงให้กับประเด็นสำคัญในสังคมอย่างต่อเนื่อง
5
         ยิ่งใหญ่มโหฬารพันลึกเหนือกว่าศึกทั้งหลาย เมื่อมันเป็นศึกของผู้วิเศษชั้นเซียนเหยียบเมฆ ผลงานเทคนิคพิสดารสะท้านฟ้าของ "เป๋าเสี่ยลี่" จากต้นฉบับนิยายขายดีของ กิมย้ง ผู้เขียน “มังกรหยก"


         ขณะที่คอหนังเอเชียกำลังตั้งตาคอย “มังกรหยก” ภาค 2 อย่างใจจดใจจ่อ "ชอว์ บราเดอร์" ก็ส่ง “ศึกสายฟ้าพญายม” (The Battle Wizard) 天龍八部 เปรื่องเข้ามาดังสายฟ้าฟาดทีเดียว

"ทำไมถึงว่ายังงั้น?"
“ศึกสายฟ้าพญายม” ที่ดังเหมือนสายฟ้าฟาดเปรื่องเข้ามากลางคัน ก็เพราะว่าพระเดช พระคุณคนเขียนหนังสือเรื่องนี้นั้น คือ มนุษย์ที่ชื่อ กิมย้ง(Jin Yong) 金庸

         ก็ "กิมย้ง" นี้แหละที่เขียนเรื่อง "มังกรหยก” อันลือลั่น ขายมากกว่า 10 ล้านเล่มในเอเซีย จากจำนวนพิมพ์ที่พิมพ์ขึ้นในแต่ละประเทศ รวมทั้งประเทศไทยซึ่งขายได้ทั้ง ฉบับไทย และฉบับจีนรวมกันนับแสนๆ เล่ม

         ก็หัวแหลม และฉับไวเสมอ สำหรับท่านเซอร์รันรันคนนี้ ที่เอา “ศึกสายฟ้าพญายม” มาช่วยระงับความกระหายหิวของคอหนัง ที่กำลังต้องการ “มังกรหยก" ภาค 2 (The Brave Archer Part II) 射鵰英雄傳續集


         ผลงานของกิมย้งเรื่องใหม่นี้ นับเป็นเรื่องสนุกผาดโผนโจนทะยานไม่แพ้เรื่อง “มังกรหยก” และที่เป็นพิเศษก็คือ กิมย้งกล้าใส่อาวุธวิเศษลงไปในนิยายบู๊ของเขา ในขณะที่นักเขียนคนอื่นๆ แม้กระทั่งโกวเล้งเจ้าตำรับยุทธจักรเองก็เถอะ ยังไม่กล้า
"เรียกว่า กิมย้งซะคน จะทำอะไรก็มันส์พะยะค่ะไปทั้งนั้น"




         ใน “ศึกลายฟ้าพญายม” กิมย้งเริ่มเรื่องของเขา โดยเท้าความจากพงษาวดารจีนฉบับพิสดารสมัยเมื่อต้วนเจิ้งตุง (นำแสดงโดย ซูเหวย) (Szu Wei) 思維 ออกญาแห่งเมืองตาลี่ในมณฑลยูนนาน (ก็คงจะเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของไทยนั่นเอง) สมสู่คบชู้กับนางฉิงหงเหมียน ผู้เป็นภรรยาของเซียนผู้วิเศษตนหนึ่ง จนเกิดเหตุขึ้น ทำให้ต้วนเจิ้งตุงต้องตกกะไดพลอยโจน จับอาวุธเข้าราวีกับเซียนนั้น จนเซียนวิเศษสู้ต่อไปไม่ไหวต้องเผ่นหนีหายไปโดยไม่กลับมาอีก

         แต่ว่าต้วนเจิ้งตุงนั้น เมื่อมันสมอารมณ์ของมันกับนางเมียของผู้วิเศษแล้ว มัมก็หาได้ตกแต่งอยู่กินให้สมกับที่ได้แย่งนางมาจากตัวอื่นไม่ มันกลับไปอภิเษกนางอื่น มีลูกชายกับนางนั้น แล้วให้ชื่อมันว่าต้วนอี้ (นำแสดงโดย หลีซิ่วเสียน) (Danny Li Hsiu-Hsien) 李修賢




         ฝ่ายตวนอี้ผู้ลูก เมื่อมันโตขึ้นก็กลับแปลก เป็นลูกไม้หล่นไกลต้น คือมันหาได้ใส่ใจเพลงอาวุธดั่งพ่อของมันไม่ กลับหมกมุ่นอยู่แต่หนังสือ อย่างกะจะเป็นนักปราชญ์ พ่อแม่ของมันจึงต้องบังคับขับไสทั้งเช้าทั้งเย็น

         ย้อนกลับไปถึงนางฉิงหงเหมียน นังเมียของผู้วิเศษที่ลอบเป็นชู้กับต้วนเจิ้งตุง นางผู้นี้เมื่อเสียทั้งผัวจริง และผัวชู้ไปทั้งสองคน มันก็คลอดลูกมาเป็นหญิง มันให้ชื่อลูกหญิงของมันว่า มู่วันชิง (นำแสดง โดยเถียนหนี) (Tanny Tien Ni) 恬妮

         นางฉิงหงเหมียนนั้น ความแค้นของมันมากนัก มันจึงถ่ายทอดวิชาคาถาอาคมต่างๆ ให้แก่ลูกหญิงของมันจนหมดสิ้น ทั้งยังได้ ให้ไปร่ำเรียนกับเซียนต่างๆ มา จนสามารถใช้อาวุธวิเศษต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่ว

         นางมู่วันชิงผู้นี้ เมื่อโตเป็นสาวก็เป็นหัวหน้าสำนักใหญ่ มีผู้คนนิยมยกย่อง และยำเกรงเป็นอันมาก แต่มันหาได้อยู่ติดที่ไม่ ด้วยแม่มันสั่งเอาไว้เป็นคำขาดว่าให้ตามหาชายที่ชื่อ ต้วนเจิ้งตุงให้เจอ และเมื่อเจอแล้วก็ให้สังหารเสียให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยเล่ห์ด้วยกล ฤาด้วยอาวุธวิเศษใดๆ


         เจ้าต้วนอี้ ผู้ลูกของต้วนเจิ้งตุงกับนางเมียใหม่นั้น เมื่อถูกบังคับให้ร่ำเรียนเพลงศาสตราอาวุธหนักเข้า มันก็หนีออกจากวังของพ่อ แล้วตุหรัดตุเหร่เข้าไปในป่า หาที่วิเวกอ่านตำราจากหนังสือ หวังความเป็นปราชญ์ จนวันหนึ่งได้เจอเข้ากับนางแก่แดดเข้านางหนึ่ง ชื่อนางจงหลิง (นำแสดงโดย หลินเจิ้นฉี) (Lin Chen-Chi) 林珍奇 ผู้มีอาคมกล้า สามารถฝึกงู และสัตว์ต่างๆ ให้มาอยู่ในบังคับใช้งานได้

         ต้วนอี้ไม่สนนางนี้ ทว่านางจงหลิงเกิดใจปฏิพัทธิ์ และตามติดมันไปโดยไม่มียางอาย ต่อคำถากคำถาง จนกระทั่งถูกจับโดยฉับพลัน ด้วยกับดักของไอ้โจรป่าชื่อ ซือกงชวน (นำแสดงโดย เจียงฮัน) (Chiang Han) 強漢

         ฝ่ายนางจงหลิง เมื่อถูกจับก็หาระย่อไม่ มันได้ใช้คาถาเรียกงูตัวเล็กๆ ให้เจาะซอก เข้าไปในตัวของไอ้โจรซือกงชวน จนไอ้โจรต้องเจ็บปวดแทบขาดใจตาย มันจึงยอมปล่อยตัวตวนอี้เป็นอิสระไป

         นางจงหลิงนั้น เมื่อตวนอี้เป็นอิสระ มันสั่งความให้ไปตามหานางที่ชื่อ มู่วันชิงให้ได้ เพราะนางนี้เป็นผู้เดียวที่มีฤทธา สามารถบังคับให้ไอ้โจรไพร ซือกงชวนถอนคาถาอาคมจากตัวมันได้


         ฝ่ายต้วนอี้ก็ได้ออกตามหานางมู่วันชิง ตามคำขอของนางจงหลิง จนกระทั่งได้พบว่า นางผู้นี้อาศัยอยู่ในไพรสูง ใช้ผ้าดำคาดหน้าตลอดทั้งวัน และมีฤทธิ์วิเศษสมจริง ดังที่นางจงหลิงกล่าวอ้าง

         ระหว่างที่ ตวนอี้และมู่วันชิงกำลังสาละวนช่วยนางจงหลิงให้พ้นจากเงื้อมมือของซือกงชวน ก็เกิดมีอสูรกาย สาวกเซียนผู้วิเศษเข้ามาขัดขวาง และจะฆ่าตวนอี้กับมู่วันชิงเสียให้ได้ นางมู่วันชิงเกิดพลาดท่าถูกอาวุธอสูรกายจนเป็นแผลใหญ่ ต้วนอี้เข้าช่วยนาง จนได้แลเห็นใบหน้าแท้ของนางมู่วันชิง ซึ่งสาบานเอาไว้ว่า ถ้าชายใดแลเห็นหน้านางไซร้ ไอ้ผู้นั้นถ้าไม่ตายก็จะต้องเป็นผัวนาง












         นี้เป็นความเบื้องต้น และเบื้องกลางของนิยายสนุกสนั่น มันเหลือใจของกิมย้ง ในหนังสือเรื่อง “ศึกสายฟ้าพญายม"
เป๋าเสี่ยลี่(Pao Hsueh-Li) 鮑學禮
ผู้กำกับการแสดงชื่อดังของฮ่องกง และชอว์ บราเดอร์ กล่าวว่า “ศึกสายฟ้าพญายม” เป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถ ในการกำกับการแสดงเป็นที่ยิ่ง แต่ทว่าเขาก็ได้ทำสำเร็จแล้ว


         มันทำสำเร็จแน่นอน โดยเฉพาะฉากเด็ด อาวุธวิเศษต่างๆ นานา ซึ่งในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ยังไม่เคยมีใครทำมาเลย
ยูเนียนโอเดียนได้นำ “ศึกสายฟ้าพญายม" เข้ารอบมิดไนท์สบายไปแล้ว เมื่อวันศุกร์ที่ 3 เสาร์ ที่ 4 มีนาคมนี้ และขณะนี้กำลังฉายอยู่ในรอบ ปกติ 3 โรงพรัอมกันที่ วอเนอร์ นิวโอเดียน และ เซ็นจูรี่ จนถึงวันที่ 23 มีนาคม คอหนังต่างจังหวัดโปรดอดใจคอยสักเล็กน้อย ลงเป็นเครือยูเนียนโอเดียนซะอย่าง เรื่องฉายหนังแช่ไม่เคยมี

=================================
***"ศึกสายฟ้าพญายม" ปี 1977 เข้าฉายเมืองไทย วันที่ 10 มีนาคม 2521(1978)
***บทความจากนิตยสารโลกดารา ปีที่ 10 ฉบับที่ 214 วันที่ 15 มีนาคม 2521(1978)
6
       เห่อฟาน (Ho Fan) 何藩 (1937-2016) ผู้รับบทแสดงเป็นพระถังซำจั๋ง ทั้ง 4 ภาคของชอว์ฯ ยุค 60'S ที่เราคุ้นเคยกันดี หลังเลิกลาจากอาชีพนักแสดง ท่านได้ก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในผู้กำกับหนังแนวอีโรติกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของฮ่องกง และเป็นช่างภาพแนวศิลป์ที่มีผลงานยอดเยี่ยมได้รับรางวัลมากมายเลยทีเดียว


















7
Rouge (1987) ล่ารัก 59 ปี  ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังดีอยู่


            ครั้งหนึ่ง เฉินหลง (Jackie Chan) พระเอกแอ็กชันอันดับหนึ่งของฮ่องกง เคยผลักดันหนังโรแมนติกดราม่าแนวจีนจ๋าเรื่องหนึ่งให้เกิดขึ้นได้จริงในวงการ ทั้งที่มันไม่ใช่แนวถนัดของเขา และตัวเขาเองก็ไม่สามารถแสดงในหนังแนวนี่ได้เลย เขาเคยกล่าวไว้ว่า

            “นี่คือหนังที่ผมดีใจมากที่ได้ช่วยให้เกิดขึ้น ถึงแม้ตัวผมจะเล่นไม่ได้แนวแบบนี้ แต่มันสำคัญต่อวงการหนังฮ่องกง”

            นั่นคือ Rouge (1987) หรือที่ในบ้านเรารู้จักกันในชื่อ ล่ารัก 59 ปี หนังที่หลายคนยกย่องว่าเป็นหนึ่งในงานระดับมาสเตอร์พีซของฮ่องกงยุคทอง


            ย้อนกลับไปตอนปี 1986 สแตนลีย์ กวาน (Stanley Kwan) ผู้กำกับหนุ่มรุ่นใหม่จากกลุ่ม นิวเวฟฮ่องกง ได้ลิขสิทธิ์นิยายชื่อดังของ หลี่ปิกฮวา หรือลิเลียน ลี(งานที่คนรู้จักกันของเธอก็มี green  snake และ farewell my concubine นิยายอีกเรื่องหนึ่งของเธอที่มีลักษณะเล่าเรื่อง 2 ยุคก็คือเทียนฟง คนตรง 2,000 ปี) ที่ตีพิมพ์ในปี 1984 มาเตรียมสร้างเป็นภาพยนตร์ ทว่าเมื่อเสนอโครงการนี้ให้หลายบริษัทกลับถูกปฏิเสธ เพราะเป็นหนังพีเรียดดราม่า ไม่มีฉากบู๊ ไม่มีตลาดรองรับ ต่างจากกระแสหนังฮ่องกงที่นิยมแนวแอ็กชันหรือคอเมดี้ในยุคนั้น


            เมื่อเฉินหลงทราบเรื่องนี้ และมีบริษัทของตัวเองอยู่แล้ว ก็ยื่นมือเข้าช่วยบอกกับทีมว่า  “เรื่องนี้ดีมาก ไม่ใช่หนังตลาดก็จริง แต่จะเป็นหนังที่มีคุณค่าต่อวงการ ผมช่วยออกหน้าให้เอง”

            และในที่สุดด้วยการสนับสนุนจากของเฉินหลง หนังเรื่อง Rouge จึงได้รับไฟเขียวให้สร้างจริง และกลายมาเป็นหนึ่งในผลงานชั้นเยี่ยมของวงการที่ยังตราตรึงมาถึงทุกวันนี้ ( บนใบปิดเวอร์ชันแรกของหนังยังมีโลโก้ Golden Way Films ปรากฏอยู่ด้วย เป็นหลักฐานของ “ความกล้าหาญ” ที่คนรุ่นใหม่หลายคนอาจไม่เคยรู้เลยว่ามีส่วนจากเฉินหลงอยู่เบื้องหลัง)

            Rouge  ไม่ใช่หนังรักซาบซึ้งธรรมดา หากแต่สะท้อนภาพความจริงของมนุษย์ และเปรียบเทียบสังคมฮ่องกงระหว่างยุค 1930 กับ 1980 อย่างลึกซึ้ง เล่าผ่านกาลเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่โลกเปลี่ยน ผู้คนเปลี่ยน  แต่ความรักยังคงค้างคา


            เรื่องเริ่มจาก อาหยวน หนุ่มพนักงานขายโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ที่มีแฟนนักข่าวชื่อ อาฉู่  วันหนึ่งเขาได้พบหญิงสาวในชุดกี่เพ้าเก่าเดินเข้ามาขอประกาศตามหาคนหาย  หญิงลึกลับผู้นี้คือ เฟลอร์ ที่แท้เธอคือผีสาวผู้กลับจากปรโลก ตามหาชายคนรักในอดีต หลังจากที่เคยตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยกันด้วยฝิ่น แต่ไปถึงปรโลกกลับไม่พบวิญญาณของเขา จึงย้อนกลับมาในฮ่องกงยุค 1987

            เฟลอร์ในอดีตเป็นนางโลมชั้นสูงที่สวยสง่า ฉลาดเฉลียว ร้องเพลงเพราะ วันหนึ่งได้พบ เฉินเจิ้งปัง หรือ คุณชาย 12 ทายาทร้านสมุนไพรใหญ่ของตระกูลผู้ดี ทั้งคู่รักกันท่ามกลางอุปสรรคทางชนชั้น สุดท้ายตัดสินใจจบชีวิตด้วยกัน

            เมื่ออาหยวนและอาฉู่รับรู้เรื่องนี้ ความโรแมนติกในอดีตก็สะท้อนกลับมายังความรักของตนเอง ความรักของหนุ่มสาวยุคใหม่แม้จริงใจ แต่เต็มไปด้วยความเป็นจริงที่ต่างจากความฟุ้งฝันในอดีต จนกระทั่งเมื่อทั้งสามพยายามตามหาคุณชาย 12 ในยุคปัจจุบัน และพบว่าเขากลายเป็นชายชราไร้ราศี เป็นตัวประกอบในกองถ่ายหนังไปเสียแล้ว ความจริงของอดีตจึงคลี่คลาย  ความรักที่เคยฟังดูยิ่งใหญ่ อาจเป็นเพียงภาพลวงที่จางหายไปตามกาลเวลา


            ความยอดเยี่ยมของหนังอยู่ที่การเปรียบเทียบยุคสมัย ความคิดคน และบทบาทหญิง-ชายที่เปลี่ยนไป จากฉากแรกที่เฟลอร์แต่งเป็นชายแต่คุณชาย 12 มีท่าทีอ่อนช้อย จนถึงฉากในกองถ่ายหนังผี ที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความคลุมเครือ เป็นการสะท้อน “สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น” ได้อย่างลุ่มลึก

            นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดในฉาก เสื้อผ้า (ออกแบบโดยวิลเลียม จาง) ที่ถักทอให้เรื่องราวงดงาม  ผู้ออกแบบเสื้อผ้าเลือกใช้เสื้อผ้าจริงทั้งชุดกี่เพ้าแท้จากยุค 1930 สีแดงเข้ม ม่วง เทา เพื่อสื่ออารมณ์รักหม่นเศร้า เช่นในฉากแม่ของคุณชาย 12 ที่ปฏิเสธเฟลอร์ด้วยคำพูดผู้ดีแสบลึก ฉากที่เฟลอร์ยืนใกล้กล้องแสดงถึงความแข็งแกร่ง ในขณะที่คุณชาย 12 อยู่เบื้องหลังอย่างอ่อนแรง


               การแสดงของเหมยเยี่ยนฟาง และจางกั๋วหรงหรือเลสลี จางนั้นถึงขีดสุด เหมยเยี่ยนฟางปรากฏแทบทุกฉาก แบกหนังไว้ได้ทั้งหมด เดิมทีทีมงานตั้งใจให้ เจิ้งอี้เจี้ยน เล่นเป็นคุณชาย 12 แต่เหมยเยี่ยนฟางยืนกรานขอให้โอกาสเลสลี จาง และกลายเป็นบทดีที่สุดเรื่องหนึ่งของทั้งคู่อย่างไม่อาจลืม

            ทุกอย่างที่กล่าวมา ทำให้ Rouge เป็นหนังที่สมบูรณ์แบบทั้งเนื้อหาและรูปแบบ ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังรุ่นหลังอย่าง In the Mood for Love ของ หว่องกาไว อีกด้วย


            ผู้กำกับ สแตนลีย์ กวาน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้กำกับรุ่นแรกที่ประกาศตัวว่ารักเพศเดียวกัน ทำให้ Rouge เป็นงานระดับมาสเตอร์พีซของฮ่องกง ที่เมื่อกลับมาดูอีกครั้งในวันนี้ มันยังคงเป็น “แคปซูลเวลา” ชั้นดีที่พาเราย้อนสู่อดีต ได้เห็นทั้งความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และความไม่เปลี่ยนแปลงของหัวใจมนุษย์

            ถ้าไม่มีการผลักดันอย่างกล้าหาญของเฉินหลงในปีนั้น Rouge อาจไม่มีวันได้ถือกำเนิด  และฮ่องกงก็อาจจะขาดหนังรักระดับตำนานไปอีกหนึ่งเรื่องในประวัติศาสตร์ สมควรค่าแก่การกลับไปซึมซับอย่างยิ่งครับ
8
Harrison Ford วัย 82: ความแข็งแกร่งและความเท่ที่ไม่มีวันจางไป


         ในวัย 82 ปี Harrison Ford ยังคงยืนหยัดในฐานะไอคอนแห่งฮอลลีวูด ผู้เป็นต้นแบบของความแข็งแรง ภูมิฐาน และความเท่ที่ไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา นักแสดงเจ้าของบทบาทในตำนานอย่าง Indiana Jones และ Han Solo ไม่ได้เป็นแค่ดาราในอดีต แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจในปัจจุบันสำหรับคนทุกวัย
ความแข็งแกร่งที่มากกว่าร่างกาย

         ถึงแม้อายุเข้าสู่วัย 80 แต่ Ford ยังคงแสดงบทแอ็กชันด้วยตัวเองในหลายฉาก โดยเฉพาะใน Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023) ที่เขายังคงขี่ม้า วิ่งหนีอันตราย และใส่หมวกใบเดิมพร้อมแส้คู่ใจแบบไม่มีแผ่ว นี่ไม่ใช่แค่เพราะเขาฟิต แต่เพราะเขามีวินัย ใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย และไม่เคยหยุดท้าทายตัวเอง
เท่ในเเบบฉบับของตัวเอง

         สไตล์ของ Ford คือความเรียบง่ายแต่มีพลัง เสื้อเชิ้ตเรียบ ๆ กางเกงยีนส์ รองเท้าหนัง และรอยยิ้มมุมปากเล็ก ๆ คือภาพจำของเขาที่ไม่มีวันเชย เขาไม่พยายามจะเป็นใคร นั่นแหละคือเสน่ห์ เขาคือผู้ชายที่แก่ได้อย่างสง่างาม และไม่ต้องแต่งเติมอะไรเพิ่มเพื่อให้ดูดี
9

       ในรอบเกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาตกต่ำของหนังฮ่องกง แต่อย่างน้อยแฟนหนังก็ยังมีช่วงเวลาดีๆ เมื่อมีหนังที่ดึงเอาความรู้สึกของความรุ่งเรืองของวงการหนังฮ่องกงกลับมาอีกครั้ง

Infernal Affairs คือผลงานแห่งยุคสมัยที่เข้าฉายเมื่อ 20 ปีก่อน และยังคงถูกพูดถึงจนปัจจุบัน


สองคน สองคม แต่คำชมเดียวคือดีงาม

       Infernal Affairs หรือ สองคน สองคม เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมหาศาลในฮ่องกง ทุกประเทศที่เข้าฉาย รวมทั้งประเทศไทย และสหรัฐอเมริกาด้วย หนังได้รับยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์มาเฟียฮ่องกงที่ดีที่สุด มีชั้นเชิงที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี นับจาก A Better Tomorrow หรือ โหด เลว ดี

       หนังว่าด้วยเรื่องราวของสองตัวละคร หนึ่งคือลูกน้องแก๊งมาเฟียที่ได้แฝงตัวเข้าไปอยู่ในกรมตำรวจฮ่องกง และอีกหนึ่งสายสืบของตำรวจที่ได้เข้าไปอยู่ในวงการอาชญากรรม โดยมีหลายฉากที่เข้าขั้นคลาสสิก เช่น หักมุมฉากจบของเรื่อง อาเหยินถูกยิงตาย หรือ ฉากที่อาเหยินเอาปืนจ่อหัว หลิว เต๋อหัว บนดาดฟ้า ฯ ก่อนจะกวาดรางวัลตุ๊กตาทอง ฮ่องกง ฟิล์ม อวอร์ด ถึง 7 รางวัล

       โดยเวอร์ชันต้นฉบับเข้าฉายเมื่อปี 2002 พร้อมกับปลุกกระแสหนังฮ่องกงที่เริ่มจะตกต่ำในช่วงนั้นให้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง และถึงตอนนี้หนังก็มีอายุครบ 20 ปีไปเรียบร้อยแล้ว

       อย่างไรก็ตาม การเข้าฉายในบ้านเราเองดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะไม่ได้รับการเหลียงแลเท่าที่ที่ควร ขนาดที่ว่าผู้จัดจำหน่ายหนังจีนเจ้าใหญ่อย่าง สหมงคลฟิล์ม ก็ยังไม่ได้เป็นคนนำหนังมาฉายด้วยซ้ำไป แต่เป็นบริษัทที่ชื่อว่า ออลล์ อินสไปร์ พิคเจอร์ส ที่เป็นคนเอาเข้ามา

       นอกจากนี้หนังก็ยังไม่ได้ใช้ทีมพากย์อันดับหนึ่งแห่งยุคอย่าง "พันธมิตร" เป็นผู้ลงเสียงไทยด้วยซ้ำ แต่เป็นผลงานการพากย์ของ "ทีมอินทรีย์" แทน จนมาถึงภาคสองเมื่อหนังกลายเป็นงานฟอร์มใหญ่ที่ใครๆ อยากดู Infernal Affairs จึงถูกบริษัทใหญ่แย่งซื้อมาฉายและเปลี่ยนทีมพากย์ไปด้วย


จาก Face off สู่ The Departed

       แม้ตัวหนัง Infernal Affairs ที่เล่าเรื่องตำรวจปลอมตัวเป็นโจร โจรปลอมตัวเป็นตำรวจ จะเป็นงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังฮ่องกงเก่าๆ หลายเรื่อง โดยเฉพาะ ทะลักจุดแตก ที่มี เหลียงเฉาเหว่ย แสดงเป็นตำรวจที่แฝงตัวอยู่ในแก๊งค้าอาวุธ รวมถึงหนังตำรวจรุ่นเก่าเก็บที่ชื่อว่า Man on The Brink...

       แต่หนังที่เป็นแรงบันดาลใจจริงๆ ให้ผู้เขียนบทเขียน Infernal Affairs ขึ้นมาก็คือหนังฝรั่งที่ได้ผู้กำกับจีนอย่าง "จอห์น วู" ไปกำกับอย่าง Face off นั่นเอง

ว่ากันว่า "อลัน มัก" คนเขียนบท Infernal Affairs ดู Face off ด้วยความหงุดหงิดสุดๆ ที่ตำรวจกับโจรเรื่องนี้ไม่ได้แค่สลับบทบาทกันแต่ยังถึงขั้นสลับหน้าตาโดยใช้เทคโนโลยีสุดไฮเทคที่แทบจะเป็นจริงไม่ได้(ในสมัยนั้น) เพราะรู้สึกว่าหนังไม่เห็นต้องเขียนบทออกมาให้ตัวละครผ่าตัดหน้าสลับกันเลย จนเป็นแรงบันดาลใจในการเขียน Infernal Affairs ออกมาให้การสลับบทบาทของตำรวจ และผู้ร้าย ดูน่าเชื่อถือและน่าเป็นไปได้มากกว่า


       Infernal Affairs ประสบความสำเร็จแบบสุดๆ ถึงขั้นถูก "แบรด พิตต์" ซื้อไปรีเมกใหม่ ตอนนั้นเป็นข่าวดังมาก และยิ่งดังขึ้นไปอีก เพราะแม้ The Departed เรื่องนี้ แบรด พิตต์ จะไม่ได้แสดงนำเอง แต่ก็ยังได้ทั้ง ลีโอนาโด ดิคาปริโอ กับ แม็ต เดมอน มาแสดงนำ แถมมี มาร์ติน สกอร์เซซี กำกับอีก

       หนังทำออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์และมีความเป็นตัวของตัวเองมาก แต่ที่ไม่มีใครคาดก็คือหนังเรื่องนี้ถึงขั้นส่งให้ มาร์ติน สกอร์เซซี คว้าออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้เป็นครั้งแรกอีกต่างหาก
The Departed ได้รับความนิยมถึงขนาดมีการวางแผนสร้างภาคต่อออกมาเหมือนกัน โดย มาร์ค วอลเบิร์ก เป็นคนเล่าเรื่องนี้เองว่าทีมสร้าง The Departed เคยคิดที่จะสร้างภาคต่อของหนังอาจจะให้ตัวละครของเขารับบทนำขึ้นมาหรืออาจจะมีการดึงเอา แบรด พิตต์มาร่วมด้วย

       ทว่าสุดท้ายเพราะเข้าห้องประชุมไปโดยไม่มีเนื้อเรื่องอะไรชัดเจนอยู่ในหัว แถมผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี เล่นฆ่าตัวละครหลักในหนังภาคแรกไปเกือบหมด The Departed ภาคต่อก็เลยอยู่แต่ในห้องประชุม และไม่เคยใกล้เคียงกับความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย


ส่งต่อแรงบันดาลใจ

       Infernal Affairs ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังหลายเรื่อง จนเกิดเป็นการรีเมกแบบไม่เป็นทางการขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ Double Face ที่เล่าเรื่องตำรวจปลอมตัวเป็นยากูซ่าและยากูซ่าปลอมตัวเป็นตำรวจ โดยหนังเลือกที่จะเล่าเรื่องเป็นสองภาคและได้รับความนิยมพอสมควร

       ส่วนเกาหลีก็ต้องรีเมกออกมาเป็นแนวมาเฟียตลกตามสไตล์ แต่ก็เป็นยุคท้ายๆ ของกระแสหนังแก๊งสเตอร์ตลกของเกาหลีในยุคนั้นแล้ว หนังที่ใช้ชื่อว่า City of Damnation ก็เลยไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก

       ส่วนที่ถือว่าเป็นภาคต่อจริงๆ ของ Infernal Affairs จริงๆ ก็คงจะเป็นภาคซีรีส์ของ ATV ที่ใช้ชื่อเดียวกับหนัง และยังมีตัวละครเดิมบางตัว ส่วนเนื้อหาเป็นการเล่าเรื่องเหตุการณ์ใหม่และมีเรื่องราวขยายไปถึงทั้งมาเฟียมาเก๊า และเหตุการณ์ในเมืองไทยด้วย แต่อาจจะเพราะซีรีส์ไม่ได้มีดาราที่ดังเท่ากับหนังก็เลยไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากนัก

       สำหรับในวาระ 20 ปี ก็ต้องมีการรีมาสเตอร์หนังต้นฉบับออกมาตามระเบียบ ด้วยภาพคมกริบเสียงกระหึ่มแบบที่แฟนๆ น่าจะไม่เคยได้สัมผัสกันมาก่อน และหลายๆ คนก็คงรอคอยกันอยู่ เพราะถึงจะถูกสร้างใหม่ถูกรีเมกใหม่กี่รอบ ก็คงไม่มีเวอร์ชันไหนที่จะคลาสสิกเท่ากับต้นฉบับอีกแล้ว

       นอกจากนั้นหนังยังถูกผลิตออกมาในรูปแบบ Blu-Ray และ Blu-Ray 4K ในหลายๆ ประเทศ รวมถึงบริษัทใหญ่อย่าง Criterion ก็ยังกำลังแผ่น Infernal Affairs เวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ด้วย

แฟนๆ หนังชุดนี้ก็รอเก็บสะสมกันได้

10
       ตอนรับบท ใน CJ7 Xu Jiao อายุเพียง 9 ขวบ และนี่คือการแสดงครั้งแรกของเธอ — แต่เธอทำให้คนดูทั้งโลกเชื่อว่าคือ “เด็กผู้ชาย” ได้จริง ทั้งด้วยพลังทางการแสดงและเสน่ห์บริสุทธิ์ไร้การปรุงแต่ง

หลังจากนั้น เธอกลายเป็นดาราเด็กดาวรุ่งในจีน แสดงหนังหลายเรื่อง เช่น
 • Starry Starry Night (2011)
 • Mr. Go (2013)

       พร้อมก้าวเข้าสู่วงการซีรีส์และภาพยนตร์อย่างเต็มตัว ปัจจุบันเธอเติบโตเป็นนักแสดงสาวมากฝีมือที่ยังคงพัฒนาไม่หยุด

หน้า: [1] 2 3 ... 10