กระทู้เมื่อเร็วๆ นี้

หน้า: 1 ... 8 9 [10]
91
Rouge (1987) ล่ารัก 59 ปี  ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ยังดีอยู่


            ครั้งหนึ่ง เฉินหลง (Jackie Chan) พระเอกแอ็กชันอันดับหนึ่งของฮ่องกง เคยผลักดันหนังโรแมนติกดราม่าแนวจีนจ๋าเรื่องหนึ่งให้เกิดขึ้นได้จริงในวงการ ทั้งที่มันไม่ใช่แนวถนัดของเขา และตัวเขาเองก็ไม่สามารถแสดงในหนังแนวนี่ได้เลย เขาเคยกล่าวไว้ว่า

            “นี่คือหนังที่ผมดีใจมากที่ได้ช่วยให้เกิดขึ้น ถึงแม้ตัวผมจะเล่นไม่ได้แนวแบบนี้ แต่มันสำคัญต่อวงการหนังฮ่องกง”

            นั่นคือ Rouge (1987) หรือที่ในบ้านเรารู้จักกันในชื่อ ล่ารัก 59 ปี หนังที่หลายคนยกย่องว่าเป็นหนึ่งในงานระดับมาสเตอร์พีซของฮ่องกงยุคทอง


            ย้อนกลับไปตอนปี 1986 สแตนลีย์ กวาน (Stanley Kwan) ผู้กำกับหนุ่มรุ่นใหม่จากกลุ่ม นิวเวฟฮ่องกง ได้ลิขสิทธิ์นิยายชื่อดังของ หลี่ปิกฮวา หรือลิเลียน ลี(งานที่คนรู้จักกันของเธอก็มี green  snake และ farewell my concubine นิยายอีกเรื่องหนึ่งของเธอที่มีลักษณะเล่าเรื่อง 2 ยุคก็คือเทียนฟง คนตรง 2,000 ปี) ที่ตีพิมพ์ในปี 1984 มาเตรียมสร้างเป็นภาพยนตร์ ทว่าเมื่อเสนอโครงการนี้ให้หลายบริษัทกลับถูกปฏิเสธ เพราะเป็นหนังพีเรียดดราม่า ไม่มีฉากบู๊ ไม่มีตลาดรองรับ ต่างจากกระแสหนังฮ่องกงที่นิยมแนวแอ็กชันหรือคอเมดี้ในยุคนั้น


            เมื่อเฉินหลงทราบเรื่องนี้ และมีบริษัทของตัวเองอยู่แล้ว ก็ยื่นมือเข้าช่วยบอกกับทีมว่า  “เรื่องนี้ดีมาก ไม่ใช่หนังตลาดก็จริง แต่จะเป็นหนังที่มีคุณค่าต่อวงการ ผมช่วยออกหน้าให้เอง”

            และในที่สุดด้วยการสนับสนุนจากของเฉินหลง หนังเรื่อง Rouge จึงได้รับไฟเขียวให้สร้างจริง และกลายมาเป็นหนึ่งในผลงานชั้นเยี่ยมของวงการที่ยังตราตรึงมาถึงทุกวันนี้ ( บนใบปิดเวอร์ชันแรกของหนังยังมีโลโก้ Golden Way Films ปรากฏอยู่ด้วย เป็นหลักฐานของ “ความกล้าหาญ” ที่คนรุ่นใหม่หลายคนอาจไม่เคยรู้เลยว่ามีส่วนจากเฉินหลงอยู่เบื้องหลัง)

            Rouge  ไม่ใช่หนังรักซาบซึ้งธรรมดา หากแต่สะท้อนภาพความจริงของมนุษย์ และเปรียบเทียบสังคมฮ่องกงระหว่างยุค 1930 กับ 1980 อย่างลึกซึ้ง เล่าผ่านกาลเวลากว่าครึ่งศตวรรษที่โลกเปลี่ยน ผู้คนเปลี่ยน  แต่ความรักยังคงค้างคา


            เรื่องเริ่มจาก อาหยวน หนุ่มพนักงานขายโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ที่มีแฟนนักข่าวชื่อ อาฉู่  วันหนึ่งเขาได้พบหญิงสาวในชุดกี่เพ้าเก่าเดินเข้ามาขอประกาศตามหาคนหาย  หญิงลึกลับผู้นี้คือ เฟลอร์ ที่แท้เธอคือผีสาวผู้กลับจากปรโลก ตามหาชายคนรักในอดีต หลังจากที่เคยตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยกันด้วยฝิ่น แต่ไปถึงปรโลกกลับไม่พบวิญญาณของเขา จึงย้อนกลับมาในฮ่องกงยุค 1987

            เฟลอร์ในอดีตเป็นนางโลมชั้นสูงที่สวยสง่า ฉลาดเฉลียว ร้องเพลงเพราะ วันหนึ่งได้พบ เฉินเจิ้งปัง หรือ คุณชาย 12 ทายาทร้านสมุนไพรใหญ่ของตระกูลผู้ดี ทั้งคู่รักกันท่ามกลางอุปสรรคทางชนชั้น สุดท้ายตัดสินใจจบชีวิตด้วยกัน

            เมื่ออาหยวนและอาฉู่รับรู้เรื่องนี้ ความโรแมนติกในอดีตก็สะท้อนกลับมายังความรักของตนเอง ความรักของหนุ่มสาวยุคใหม่แม้จริงใจ แต่เต็มไปด้วยความเป็นจริงที่ต่างจากความฟุ้งฝันในอดีต จนกระทั่งเมื่อทั้งสามพยายามตามหาคุณชาย 12 ในยุคปัจจุบัน และพบว่าเขากลายเป็นชายชราไร้ราศี เป็นตัวประกอบในกองถ่ายหนังไปเสียแล้ว ความจริงของอดีตจึงคลี่คลาย  ความรักที่เคยฟังดูยิ่งใหญ่ อาจเป็นเพียงภาพลวงที่จางหายไปตามกาลเวลา


            ความยอดเยี่ยมของหนังอยู่ที่การเปรียบเทียบยุคสมัย ความคิดคน และบทบาทหญิง-ชายที่เปลี่ยนไป จากฉากแรกที่เฟลอร์แต่งเป็นชายแต่คุณชาย 12 มีท่าทีอ่อนช้อย จนถึงฉากในกองถ่ายหนังผี ที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยความคลุมเครือ เป็นการสะท้อน “สิ่งที่เห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น” ได้อย่างลุ่มลึก

            นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดในฉาก เสื้อผ้า (ออกแบบโดยวิลเลียม จาง) ที่ถักทอให้เรื่องราวงดงาม  ผู้ออกแบบเสื้อผ้าเลือกใช้เสื้อผ้าจริงทั้งชุดกี่เพ้าแท้จากยุค 1930 สีแดงเข้ม ม่วง เทา เพื่อสื่ออารมณ์รักหม่นเศร้า เช่นในฉากแม่ของคุณชาย 12 ที่ปฏิเสธเฟลอร์ด้วยคำพูดผู้ดีแสบลึก ฉากที่เฟลอร์ยืนใกล้กล้องแสดงถึงความแข็งแกร่ง ในขณะที่คุณชาย 12 อยู่เบื้องหลังอย่างอ่อนแรง


               การแสดงของเหมยเยี่ยนฟาง และจางกั๋วหรงหรือเลสลี จางนั้นถึงขีดสุด เหมยเยี่ยนฟางปรากฏแทบทุกฉาก แบกหนังไว้ได้ทั้งหมด เดิมทีทีมงานตั้งใจให้ เจิ้งอี้เจี้ยน เล่นเป็นคุณชาย 12 แต่เหมยเยี่ยนฟางยืนกรานขอให้โอกาสเลสลี จาง และกลายเป็นบทดีที่สุดเรื่องหนึ่งของทั้งคู่อย่างไม่อาจลืม

            ทุกอย่างที่กล่าวมา ทำให้ Rouge เป็นหนังที่สมบูรณ์แบบทั้งเนื้อหาและรูปแบบ ทั้งยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังรุ่นหลังอย่าง In the Mood for Love ของ หว่องกาไว อีกด้วย


            ผู้กำกับ สแตนลีย์ กวาน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้กำกับรุ่นแรกที่ประกาศตัวว่ารักเพศเดียวกัน ทำให้ Rouge เป็นงานระดับมาสเตอร์พีซของฮ่องกง ที่เมื่อกลับมาดูอีกครั้งในวันนี้ มันยังคงเป็น “แคปซูลเวลา” ชั้นดีที่พาเราย้อนสู่อดีต ได้เห็นทั้งความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย และความไม่เปลี่ยนแปลงของหัวใจมนุษย์

            ถ้าไม่มีการผลักดันอย่างกล้าหาญของเฉินหลงในปีนั้น Rouge อาจไม่มีวันได้ถือกำเนิด  และฮ่องกงก็อาจจะขาดหนังรักระดับตำนานไปอีกหนึ่งเรื่องในประวัติศาสตร์ สมควรค่าแก่การกลับไปซึมซับอย่างยิ่งครับ
92
Harrison Ford วัย 82: ความแข็งแกร่งและความเท่ที่ไม่มีวันจางไป


         ในวัย 82 ปี Harrison Ford ยังคงยืนหยัดในฐานะไอคอนแห่งฮอลลีวูด ผู้เป็นต้นแบบของความแข็งแรง ภูมิฐาน และความเท่ที่ไม่เคยเลือนหายไปตามกาลเวลา นักแสดงเจ้าของบทบาทในตำนานอย่าง Indiana Jones และ Han Solo ไม่ได้เป็นแค่ดาราในอดีต แต่ยังเป็นแรงบันดาลใจในปัจจุบันสำหรับคนทุกวัย
ความแข็งแกร่งที่มากกว่าร่างกาย

         ถึงแม้อายุเข้าสู่วัย 80 แต่ Ford ยังคงแสดงบทแอ็กชันด้วยตัวเองในหลายฉาก โดยเฉพาะใน Indiana Jones and the Dial of Destiny (2023) ที่เขายังคงขี่ม้า วิ่งหนีอันตราย และใส่หมวกใบเดิมพร้อมแส้คู่ใจแบบไม่มีแผ่ว นี่ไม่ใช่แค่เพราะเขาฟิต แต่เพราะเขามีวินัย ใช้ชีวิตอย่างมีเป้าหมาย และไม่เคยหยุดท้าทายตัวเอง
เท่ในเเบบฉบับของตัวเอง

         สไตล์ของ Ford คือความเรียบง่ายแต่มีพลัง เสื้อเชิ้ตเรียบ ๆ กางเกงยีนส์ รองเท้าหนัง และรอยยิ้มมุมปากเล็ก ๆ คือภาพจำของเขาที่ไม่มีวันเชย เขาไม่พยายามจะเป็นใคร นั่นแหละคือเสน่ห์ เขาคือผู้ชายที่แก่ได้อย่างสง่างาม และไม่ต้องแต่งเติมอะไรเพิ่มเพื่อให้ดูดี
93

       ในรอบเกือบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาตกต่ำของหนังฮ่องกง แต่อย่างน้อยแฟนหนังก็ยังมีช่วงเวลาดีๆ เมื่อมีหนังที่ดึงเอาความรู้สึกของความรุ่งเรืองของวงการหนังฮ่องกงกลับมาอีกครั้ง

Infernal Affairs คือผลงานแห่งยุคสมัยที่เข้าฉายเมื่อ 20 ปีก่อน และยังคงถูกพูดถึงจนปัจจุบัน


สองคน สองคม แต่คำชมเดียวคือดีงาม

       Infernal Affairs หรือ สองคน สองคม เป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมหาศาลในฮ่องกง ทุกประเทศที่เข้าฉาย รวมทั้งประเทศไทย และสหรัฐอเมริกาด้วย หนังได้รับยกย่องว่าเป็นภาพยนตร์มาเฟียฮ่องกงที่ดีที่สุด มีชั้นเชิงที่สุดในรอบเกือบ 20 ปี นับจาก A Better Tomorrow หรือ โหด เลว ดี

       หนังว่าด้วยเรื่องราวของสองตัวละคร หนึ่งคือลูกน้องแก๊งมาเฟียที่ได้แฝงตัวเข้าไปอยู่ในกรมตำรวจฮ่องกง และอีกหนึ่งสายสืบของตำรวจที่ได้เข้าไปอยู่ในวงการอาชญากรรม โดยมีหลายฉากที่เข้าขั้นคลาสสิก เช่น หักมุมฉากจบของเรื่อง อาเหยินถูกยิงตาย หรือ ฉากที่อาเหยินเอาปืนจ่อหัว หลิว เต๋อหัว บนดาดฟ้า ฯ ก่อนจะกวาดรางวัลตุ๊กตาทอง ฮ่องกง ฟิล์ม อวอร์ด ถึง 7 รางวัล

       โดยเวอร์ชันต้นฉบับเข้าฉายเมื่อปี 2002 พร้อมกับปลุกกระแสหนังฮ่องกงที่เริ่มจะตกต่ำในช่วงนั้นให้กลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง และถึงตอนนี้หนังก็มีอายุครบ 20 ปีไปเรียบร้อยแล้ว

       อย่างไรก็ตาม การเข้าฉายในบ้านเราเองดูเหมือนหนังเรื่องนี้จะไม่ได้รับการเหลียงแลเท่าที่ที่ควร ขนาดที่ว่าผู้จัดจำหน่ายหนังจีนเจ้าใหญ่อย่าง สหมงคลฟิล์ม ก็ยังไม่ได้เป็นคนนำหนังมาฉายด้วยซ้ำไป แต่เป็นบริษัทที่ชื่อว่า ออลล์ อินสไปร์ พิคเจอร์ส ที่เป็นคนเอาเข้ามา

       นอกจากนี้หนังก็ยังไม่ได้ใช้ทีมพากย์อันดับหนึ่งแห่งยุคอย่าง "พันธมิตร" เป็นผู้ลงเสียงไทยด้วยซ้ำ แต่เป็นผลงานการพากย์ของ "ทีมอินทรีย์" แทน จนมาถึงภาคสองเมื่อหนังกลายเป็นงานฟอร์มใหญ่ที่ใครๆ อยากดู Infernal Affairs จึงถูกบริษัทใหญ่แย่งซื้อมาฉายและเปลี่ยนทีมพากย์ไปด้วย


จาก Face off สู่ The Departed

       แม้ตัวหนัง Infernal Affairs ที่เล่าเรื่องตำรวจปลอมตัวเป็นโจร โจรปลอมตัวเป็นตำรวจ จะเป็นงานที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังฮ่องกงเก่าๆ หลายเรื่อง โดยเฉพาะ ทะลักจุดแตก ที่มี เหลียงเฉาเหว่ย แสดงเป็นตำรวจที่แฝงตัวอยู่ในแก๊งค้าอาวุธ รวมถึงหนังตำรวจรุ่นเก่าเก็บที่ชื่อว่า Man on The Brink...

       แต่หนังที่เป็นแรงบันดาลใจจริงๆ ให้ผู้เขียนบทเขียน Infernal Affairs ขึ้นมาก็คือหนังฝรั่งที่ได้ผู้กำกับจีนอย่าง "จอห์น วู" ไปกำกับอย่าง Face off นั่นเอง

ว่ากันว่า "อลัน มัก" คนเขียนบท Infernal Affairs ดู Face off ด้วยความหงุดหงิดสุดๆ ที่ตำรวจกับโจรเรื่องนี้ไม่ได้แค่สลับบทบาทกันแต่ยังถึงขั้นสลับหน้าตาโดยใช้เทคโนโลยีสุดไฮเทคที่แทบจะเป็นจริงไม่ได้(ในสมัยนั้น) เพราะรู้สึกว่าหนังไม่เห็นต้องเขียนบทออกมาให้ตัวละครผ่าตัดหน้าสลับกันเลย จนเป็นแรงบันดาลใจในการเขียน Infernal Affairs ออกมาให้การสลับบทบาทของตำรวจ และผู้ร้าย ดูน่าเชื่อถือและน่าเป็นไปได้มากกว่า


       Infernal Affairs ประสบความสำเร็จแบบสุดๆ ถึงขั้นถูก "แบรด พิตต์" ซื้อไปรีเมกใหม่ ตอนนั้นเป็นข่าวดังมาก และยิ่งดังขึ้นไปอีก เพราะแม้ The Departed เรื่องนี้ แบรด พิตต์ จะไม่ได้แสดงนำเอง แต่ก็ยังได้ทั้ง ลีโอนาโด ดิคาปริโอ กับ แม็ต เดมอน มาแสดงนำ แถมมี มาร์ติน สกอร์เซซี กำกับอีก

       หนังทำออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์และมีความเป็นตัวของตัวเองมาก แต่ที่ไม่มีใครคาดก็คือหนังเรื่องนี้ถึงขั้นส่งให้ มาร์ติน สกอร์เซซี คว้าออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมได้เป็นครั้งแรกอีกต่างหาก
The Departed ได้รับความนิยมถึงขนาดมีการวางแผนสร้างภาคต่อออกมาเหมือนกัน โดย มาร์ค วอลเบิร์ก เป็นคนเล่าเรื่องนี้เองว่าทีมสร้าง The Departed เคยคิดที่จะสร้างภาคต่อของหนังอาจจะให้ตัวละครของเขารับบทนำขึ้นมาหรืออาจจะมีการดึงเอา แบรด พิตต์มาร่วมด้วย

       ทว่าสุดท้ายเพราะเข้าห้องประชุมไปโดยไม่มีเนื้อเรื่องอะไรชัดเจนอยู่ในหัว แถมผู้กำกับ มาร์ติน สกอร์เซซี เล่นฆ่าตัวละครหลักในหนังภาคแรกไปเกือบหมด The Departed ภาคต่อก็เลยอยู่แต่ในห้องประชุม และไม่เคยใกล้เคียงกับความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย


ส่งต่อแรงบันดาลใจ

       Infernal Affairs ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหนังหลายเรื่อง จนเกิดเป็นการรีเมกแบบไม่เป็นทางการขึ้นมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ Double Face ที่เล่าเรื่องตำรวจปลอมตัวเป็นยากูซ่าและยากูซ่าปลอมตัวเป็นตำรวจ โดยหนังเลือกที่จะเล่าเรื่องเป็นสองภาคและได้รับความนิยมพอสมควร

       ส่วนเกาหลีก็ต้องรีเมกออกมาเป็นแนวมาเฟียตลกตามสไตล์ แต่ก็เป็นยุคท้ายๆ ของกระแสหนังแก๊งสเตอร์ตลกของเกาหลีในยุคนั้นแล้ว หนังที่ใช้ชื่อว่า City of Damnation ก็เลยไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก

       ส่วนที่ถือว่าเป็นภาคต่อจริงๆ ของ Infernal Affairs จริงๆ ก็คงจะเป็นภาคซีรีส์ของ ATV ที่ใช้ชื่อเดียวกับหนัง และยังมีตัวละครเดิมบางตัว ส่วนเนื้อหาเป็นการเล่าเรื่องเหตุการณ์ใหม่และมีเรื่องราวขยายไปถึงทั้งมาเฟียมาเก๊า และเหตุการณ์ในเมืองไทยด้วย แต่อาจจะเพราะซีรีส์ไม่ได้มีดาราที่ดังเท่ากับหนังก็เลยไม่ค่อยเป็นที่พูดถึงมากนัก

       สำหรับในวาระ 20 ปี ก็ต้องมีการรีมาสเตอร์หนังต้นฉบับออกมาตามระเบียบ ด้วยภาพคมกริบเสียงกระหึ่มแบบที่แฟนๆ น่าจะไม่เคยได้สัมผัสกันมาก่อน และหลายๆ คนก็คงรอคอยกันอยู่ เพราะถึงจะถูกสร้างใหม่ถูกรีเมกใหม่กี่รอบ ก็คงไม่มีเวอร์ชันไหนที่จะคลาสสิกเท่ากับต้นฉบับอีกแล้ว

       นอกจากนั้นหนังยังถูกผลิตออกมาในรูปแบบ Blu-Ray และ Blu-Ray 4K ในหลายๆ ประเทศ รวมถึงบริษัทใหญ่อย่าง Criterion ก็ยังกำลังแผ่น Infernal Affairs เวอร์ชั่นรีมาสเตอร์ด้วย

แฟนๆ หนังชุดนี้ก็รอเก็บสะสมกันได้

94
       ตอนรับบท ใน CJ7 Xu Jiao อายุเพียง 9 ขวบ และนี่คือการแสดงครั้งแรกของเธอ — แต่เธอทำให้คนดูทั้งโลกเชื่อว่าคือ “เด็กผู้ชาย” ได้จริง ทั้งด้วยพลังทางการแสดงและเสน่ห์บริสุทธิ์ไร้การปรุงแต่ง

หลังจากนั้น เธอกลายเป็นดาราเด็กดาวรุ่งในจีน แสดงหนังหลายเรื่อง เช่น
 • Starry Starry Night (2011)
 • Mr. Go (2013)

       พร้อมก้าวเข้าสู่วงการซีรีส์และภาพยนตร์อย่างเต็มตัว ปัจจุบันเธอเติบโตเป็นนักแสดงสาวมากฝีมือที่ยังคงพัฒนาไม่หยุด

95
        叛逆 1973 ไอ้หนุ่มบูชารัก The Generation Gap ผมจะไม่กล่าวถึง ป๋าเดวิด เจียงนะครับ เพราะ ป๋าเค้าโด่งดังอยู่แล้ว แต่จะกล่าวถึง สาวน้อยฟันเก เฉินเหม่ยหลิง 陈美龄 Agnes Chan กับความโด่งดังของเธอในเมืองไทย..

The Generation Gap 1973
แอ๊กเนสชาน ยอดรัก (ไอ้หนุ่มบูชารัก)
Director : Chang Cheh
Screenwriter : Ni Kuang, Chang Cheh
Cast : David Chiang Da-Wei , Ti Lung , Agnes Chan Mei-Ling

        ยุค 1970 เธอเป็นนักร้องแนวโฟลค์ซองจากฮ่องกง ที่มีแฟน ๆ ชาวไทยชื่นชอบมาก  แต่ผมขอบอกก่อนว่า ยุคแรก ๆ เธอแทบจะไม่มีเพลงเป็นของตนเองเลย เพลงที่เธอนำมาร้อง เช่น Nobody's Child  Circle Game  It Never Rains In Southern California  Devoted To You ล้วนแต่เป็นการ Cover เพลงจากศิลปินดังมาร้องใหม่  ยกเว้น You are 21 I'm 16 เธอเป็นแรงบันดาลใจให้ สาว ๆ ในยุคนั้น อยากหยิบจับกีตาร์ มาหัดเล่น ร้องเพลงให้ได้แบบเธอบ้าง มีพี่สาวอีกคนในวงการ ดูเหมือนจะชื่อ ไอรีน ? แต่ผมหารายละเอียดไม่ได้


        หน้าตาเธอน่ารัก หนุ่ม ๆ ไทยยุคนั้นปลื้มไม่น้อย แถมยังเรียนหนังสือเก่งมาก ด้วย คะแนนการเรียนเธอระดับท๊อป  ขนาด IS Song Hits ของคุณเล็ก วงศ์สว่าง ยังเคยพิมพ์รูปโปสเตอร์จำหน่ายมาแล้ว

        เธอเคยมาเปิดการแสดงคอนเสริท์ที่เมืองไทย ที่โรงหนังรามา ถนนพระราม 4  ผมก็อยากไปดู แต่ขนาดไปแต่ไก่โห่ ตั๋วก็หมดในพริบตา  ผมเลยเดินเซ็งกลับบ้าน อดดู..  ตอนนั้นคุณ ดำรง พุฒตาล ทำหน้าที่พิธีกรบนเวที ไอ้หนุ่มบูชารัก ร่วมแสดงกับป๋าตี้หลง ป๋าเดวิดเจียง  ส่วนจะมีเรื่องอื่นหรือเปล่าผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน


        ปัจจุบันเธออายุ 69 ปี แต่งงานกับคนญี่ปุ่น มีบุตรชาย 3 คน?  แต่ยังสวยสมวัย  ปัจจุบันผมยังเก็บรักษาแผ่นเสียงยุคแรกที่เธอร้องไว้อยู่เลยครับ
96

          ยอดภาพยนตร์อมตะ ที่ทำรายได้สูงสุดทั่วโลกกว่า 300 ล้านบาท เซอร์รันรัน ชอว์ สั่งก็อปปี้ใหม่เอี่ยม สีแสงเสียงสวยชัดเจน เป็นครั้งที่ 3, ผลงานเลิศพิภพจบฟ้าของ เฉินกัง (Cheng Kang) 程剛 แห่ง “เซียนเหยียบเซียน” (King Gambler) 賭王大騙局

          กลับมาใหม่อีกครั้ง สำหรับยอดภาพยนตร์อมตะเรื่อง “14 ยอดนางสิงห์ร้าย” (The 14 Amazons) 十四女英豪 ที่เคยทำสถิติรายได้สูงสุดในกรุงเทพฯ เมื่อ 5 ปีก่อน ถึง 2 ล้านบาท








          “14 ยอดนางสิงห์ร้าย” เป็นประวัติของ 14 คนในตระกูลหยาง ซึ่งผู้ชายของตระกูลนี้ ออกศึกสงครามกับพวกเวลท์เชีย อันเป็นศัตรูตัวร้ายกาจมาโดยมิได้ว่างเว้น จนที่สุดถูกฆ่าไปทีละคนๆ จนถึงคนสุดท้าย คือ หยางจงเป๋า (นำแสดงโดย จงหัว) ฝ่ายบ้านเมืองซึ่งมีขุนนางกังฉินชื่อ หวังซิน (นำแสดงโดย จิงเหมียว) ครองเมืองอยู่ในสมัยราชวงศ์ ซึ่งไม่ยอมส่งทหารออกรบข้าศึก ทำให้พี่น้องตระกูลหยางที่เหลือ สุดที่จะทนต่อไปได้ จึงได้สาบานร่วมกันว่า ถึงแม้จะเป็นหญิง ก็จะขอสู้ตายเพื่อพิทักษ์แผ่นดิน และแก้แค้นแทนหยางจงเป่า กับเหล่าชายที่ตายไปให้จงได้

ยอดหญิงทั้ง 14 คน ซึ่งนำกองทหารออกต่อสู้ล้างแค้นพวกเวทส์เซียในครั้งนั้น มีดังต่อไปนี้
1. ชีไท่จิน ย่าทวด (นำแสดงโดย ลิซ่า ลู่)
2. ย่าที่ 1 (นำแสดงโดย เฉินเอี้ยนเอี้ยน)
3. ย่าที่ 2 (นำแสดงโดย หลินจิ้ง)
4. ย่าที่ 3 (นำแสดงโดย เซี๊ยะผิง)
5. ย่าที่ 4 (นำแสดงโดย ติงเพ่ย)
6. ย่าที่ 5 (นำแสดงโดย หวังจินฟ่ง)
7. ย่าที่ 6 (นำแสดงโดย โอวหยังซาเฟ่ย)
8. ย่าที่ 7 (นำแสดงโดย จินเฟ่ย)
9. หยางป่าเม่ย น้องคนที่ 8 (นำแสดงโดย หลี่ชิง)
10. หยางจิวเม่ย น้องคนที่ 9 (นำแสดงโดย คาเรน ยิป)
11. มู่กุ้ยอิง ภริยาของ หยางจงเป่า (นำแสดงโดย หลิงปอ)
12. หยางชิวจู สาวใช้ (นำแสดงโดย วังผิง)
13. หยางชิวหลัน แม่ครัว (นำแสดงโดย หลิวอู่ฉี) และ
14. หยางไป่เฟ่ง สาวใช้ (นำแสดงโดย ซูเพ่ยเพ่ย)








          นอกจากยอดหญิง 14 คนในตระกูลหยาง ดังกล่าวแล้ว ก็มีลูกชายของหยางจงเป่า ซึ่งเป็นเหลนของชีไท่จินอีกคนหนึ่ง ชื่อ หยางเหวินกวาง (นำแสดงโดย ลี่ลี่โห) แม้จะถูกห้ามปรามไม่ให้ร่วมขบวนทัพไปด้วย เนื่องจากจะเก็บเอาไว้ให้เป็นผู้สืบตระกูล แต่หยางเหวินกวางก็หายอมไม่

          “14 ยอดนางสิงห์ร้าย” เป็นฝีมือกำกับการแสดงของเฉินกัง ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้แก่ผู้ชมเป็นอันมาก โดยเฉพาะฉากการต่อตัวหญิงทั้งหมดเป็นสะพานข้ามหุบเหวอันลึกชัน เพื่อให้กองทัพทั้งขบวนเดินผ่านไปได้
ยูเนียนโอเดียน จะนำภาพยนตร์อมตะเรื่องนี้ ออกฉายเป็นโปรแกรมพิเศษต่อจาก “9 พยัคฆ์เจ้าพยายม” (Shaolin Temple) 少林寺 ซึ่งทำรายได้สูงสุดไปกว่า สองล้านบาทแล้ว


14 Amazons (1972 Shaw Brothers) original trailer


ตัวอย่างภาพยนตร์ The 14 AMAZONS 14 นางสิงห์ร้าย

=============================
*** "14 ยอดนางสิงห์ร้าย" ลงโปรแกรมฉายในเมืองไทย เป็นครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2520(1977)
***บทความตีพิมพ์ในนิตยสารโลกดารา ปีที่ 8 ฉบับที่ 173 มิถุนายน 2520(1977)
97
ถล่มไอ้เถรเหล็ก Judgement of an Assassin (1977)


        อาจารย์เก้ออิง (จิงเมี่ยว) เจ้าสำนักเทียนซานส่งเจ้าดำ ดาบไว เหอโม่เล่อ (เดวิด เจียง) (อาวุธคือดาบที่ซ่อนในกระบองครึ่งท่อน) ลูกศิษย์เอกตามติดพฤติกรรมสำนักร้อยพิษ สำนักอธรรมในยุทธภพ ว่ามีส่วนในคดีฆาตกรรมยกครัวหรือไม่ เขาแอบไปพบอี๋เป่า (กู้กวนจง) ที่เป็นผู้ต้องหาฆาตกรรมที่ถูกจับตัวได้ อี๋เป่าเป็นลูกศิษย์คนโตสำนักเซียนเสีย เขาถูกจับตอกไว้ในโลงตะปูยาว 100 ตัวในข้อหาฆ่าล้างตระกูล 23 ศพอย่างเหี้ยมโหด เพื่อส่งไปพิพากษาในงานชุมนุมพิพากษาชาวยุทธของหมู่บ้านฮัวของฮัวซื่อกูซึ่งเธอดันอนุญาตให้สำนักอธรรม ร้อยพิษเข้าร่วมประชุมได้ด้วย นี่คือปัญหาของเรื่องนี้

        เจ้าดำพบว่าแม่นางสือ (จิงลี่) คนสำนักเซียนเสียพบกับว่านอิงไท่ เจ้าสำนักแส้ทอง (อาวุธคือมีดสั้นติดแส้เหล็ก) จอมยุทธผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ในร้านเหลา เขาเกิดต้องตาต้องใจในตัวเธอ จึงทำให้ต้องปะมือกับว่านอิงไท่ที่หึงหวง และแม่นางสือกลับสนใจว่านอิงไท่มากกว่า ผลการประลอง เจ้าดำเปิดตูดหนีไปก่อน

        สำนักร้อยพิษมีจั่วหลง (เหวยหวัง)เป็นเจ้าสำนัก มีเมียคือหมงจีจอมมารร้อยพิษ และถังอิงเป็นรองเจ้าสำนัก แต่ถังอิงลักลอบเป็นชู้กับหมงจี และขู่หมงจีว่าจะเปิดเผยความลับกับเจ้าสำนักร้อยพิษหากหมงจีไม่ยอมให้เขาจิ๊จ๊ะด้วย แต่ถังอิงผู้น่าสงสารอ่อนเชิงเธอยอมให้ก็จริงแต่เธอฆ่าเขาด้วยพิษกลายเป็นศพทิ้งไว้กลางป่า

    มีการประชุมสำนักเซียนเสีย และสำนักธรรมะอื่นๆ เกี่ยวกับหมู่บ้านฮัวจอมแสล๊นจับตัวอี๋เป่าศิษย์คนโตไว้รอพิพากษา ทำให้ท่านหลอหวินเจ้าสำนักเซียนเสียหนักใจมาก แม่นางสือ (จิงลี่) ศิษย์รักคิดอาสาจะไปสืบข่าวที่หมู่บ้านฮัว แม้มีคนห้ามก็ไม่ฟัง เจ้าดำมาที่สำนักพอดีจึงอาสาไปตามแม่นางสือไปที่หมู่บ้านฮัวเพราะเขาห่วงว่าเธอจะไปตายเสียเปล่าๆกลางทาง

   จนกระทั่งเจ้าดำตามทันแม่นางสือมาจนพบกับว่าเธอนัดเจอกับว่านอิงไท่ ทั้งคู่จึงเขม่นกันอีกครั้ง จนต้องปะทะกันอีกครั้งในศาลเจ้าร้างที่ชายลึกลับนั่งกรรมฐานอยู่ เมื่อว่านอิงไท่เห็นชายลึกลับจึงรีบผละจากไป ส่วนเจ้าดำดันไปแหย่ชายลึกลับเพราะนึกว่าเป็นพุทธรูป จนต้องปะมือกัน ก่อนที่อาจารย์เก่ออิงจะมาช่วยไว้ ชายลึกลับจึงหลบหนีไป

        ตาเฒ่าฉูหวัง (กุ๊ฟง) เคยมีอดีตกุ๊กกิ๊กกันกับฮัวซื่อกูแห่งหมู่บ้านคุณธรรมฮัวแต่ความดื้อรั้นของเธอ พูดคำเถียงคำ ทำให้เขาจากเธอไปปล่อยเธอเท้งเต้งเป็นโสดมาจนทุกวันนี้ ตาเฒ่าเดินทางมาอย่างรีบร้อนเพื่อเตือนเธอว่าอย่าไปบ้ายุ่งกับสำนักร้อยพิษเด็ดขาด เด้วจะโดนเขาหลอกเอา แถมจะเสียชื่อเสียงไม่เข้าเรื่องแต่เธอก็บอกตาเฒ่าว่า อย่า ส..แถมไล่ให้กลับบ้าน

    จั่วหลงกับอาจารย์ลุง(เฉินหุ้ยเหมี่ยน) (อาวุธคือธงสะบัดพิฆาต) ฉายา มัจจุราชเลือดซึ่งหลบเร้นแกล้งตายไปแล้วเกือบ 20 ปีเฝ้าซุ่มฝึกวิชาระฆังทองหนังทองแดงกระดูกเหล็ก โดยมันวางแผนทำลายหมู่บ้านฮัวในความแค้นเมื่อ 20 ปีก่อนที่ จอมยุทธธรรมะนำโดยฮัวซื่อกูแห่งหมู่บ้านฮัว หลอเหวิน สำนักเซียนเสีย เก่ออิงสำนักเทียนซานรุมฆ่ามันจนคิดว่าตายไปแล้ว แต่มันไม่ตายและหลบเร้นรอวันแก้แค้นมาจนทุกวันนี้  จั่วหลงหลอกฮัวซื่อกูและติดสินบนว่านอิงไท่ ว่าหากมันเป็นใหญ่จะให้ตำแหน่งรองเจ้ายุทธภพ

        เมื่อมัจจุราชเลือดมาพบกับจั่วหลง มันจึงสั่งให้จั่วหลงฆ่าเมียรักหมงจีทิ้งเพราะมันเห็นเธอทำชู้และฆ่าถังอิงในวัดร้างกลางป่าและพาไปดูศพถังอิงที่เหม็นเน่าอยู่กลางป่า จั่วหลงจนใจจึงต้องฆ่าเมียรักทิ้ง

        มัจจุราชมืดพบกับว่านอิงไท่ในระหว่างทางเกิดปะทะกัน แต่รามือต่อกัน ทำให้ว่านอิงไท่เริ่มคิดได้ว่าเจ้านี่คือจอมวายร้ายตนใดกัน มันเป็นพวกจั่วหลง มิใยจะฆ่าเราทิ้งแน่นอน คิดเช่นนั้นว่านอิงไท่จึงสองจิตสองใจที่จะร่วมงานกับจั่วหลงดีไหม หรือจะเปิดโปงสำนักร้อยพิษแทนเพราะเขาเคยถูกแม่นางสือคนที่เขาแอบสานสัมพันธ์เตือนมาก่อนแล้ว


        สำนักร้อยพิษจะเข้าหมู่บ้านฮัวเพื่อรอวันตัดสินความคดีฆาตกรรม แต่ตาเฒ่ายืนขวางประตูไม่ยอมให้เข้าหมู่บ้าน จั่วหลงปะทะกับตาเฒ่า แต่ฮัวซื่อกูออกมาตำหนิตาเฒ่าว่า ส..อย่ามายุ่ง! และเชิญคนสำนักร้อยพิษเข้าพักในจวน ตาเฒ่าเซ่อกิน

        เจ้าดำรับคำสั่งจากเก่ออิงมาส่งข่าวเรื่องมัจจุราชเลือด ว่าให้ฮัวซื่อกูระวังโดนต้ม แต่กลับถูกฮัวซื่อกูสั่งคนจับเจ้าดำ จนเจ้าดำหนีเข้าไปในห้องของแม่นางสือ

        ซึ่งรอว่านอิงไท่ซึ่งว่าจะมาในวันชุมนุมที่จะถึงนี้ แถมเธอกลับผิดใจกันกับว่านอิงไท่มาก่อนหน้า และเธอเริ่มจะชอบเจ้าดำเข้าให้แล้ว

        ว่านอิงไท่คิดหักหลังจั่วหลงในงานชุมนุมจริงๆ เพราะมีหลักฐานว่าอี๋เป่าฆาตกรฆ่า 23 ศพรับสินบนจากจั่วหลงเช่นกัน ระหว่างทางเขาจึงถูกมัจจุราชเลือดฆ่าทิ้งเพราะอยู่ไปก็ขวางหูขวางตา

        วันงานชุมนุมพิพากษาคดียุทธภพ อี๋เป่า (กู้กวนจง) ปรักปรำหลอหวิน เจ้าสำนักเซียนเสีย อาจารย์ตนเองว่าเป็นคนสั่งฆ่ายกครัวตระกูลใหญ่ จนเจ้าสำนักโดนสำนักต่างๆ โห่ร้องให้รับโทษทัณฑ์ จนเขาแค้นใจฆ่าตัวตายในงานชุมนุมนั้น แม่นางสือ เจ้าดำ อาจารย์เก่ออิง แค้นใจแต่พูดไม่ออกเพราะทั้งหมดต้องยอมรับผลการตัดสิน

        เมื่อเสร็จสิ้นการชุมนุม สำนักอื่นๆ กลับบ้านหมด สำนักเซียนเสียคาใจที่เจ้าสำนักตนเองตาย ส่งผลให้สองสำนักต่างเข้าห้ำหั่นกันในหมู่บ้านฮัว จนถึงขั้นมัจจุราชเลือดและสำนักร้อยพิษบุกเข้ายึดหมู่บ้านฮัว อี๋เป่าบอกความจริงกับแม่นางสือว่า ตนเองจะขึ้นเป็นมือขวาของจั่วหลงแล้วหากกำจัดทุกคนให้สิ้นซากในวันนี้

        มัจจุราชเลือดสะบัดธงฆ่าฮัวซื่อกู ส่วนตาเฒ่าใกล้ตายแต่ฆ่าจั่วหลงได้และร่ำลาฮัวซื่อกูเมียรักซึ่งหมดลมหายใจจนตายไปพร้อมกัน หมู่บ้านฮัวพังทลาย เมื่อแม่นางสือ เจ้าดำ และอาจารย์เก่ออิงประสานกันยังหาจุดอ่อนวิชาระฆังทองของมัจจุราชเลือดไม่ได้ สุดท้ายอาจารย์เก่ออิงคำนวณได้ ว่าอยู่กลางศีรษะ เจ้าดำจึงพิฆาตจอมวายร้ายได้

        งานของซุนจงที่มีคนชมว่าดีเลิศ กำกับบู๊โดยถังเจีย หวังเป้ยจื้อ งานโดดเด่น เขียนบทโดยเหง่ยคัง เนื้อหาในเรื่องมันแปล่งๆ ไม่สมเหตุสมผลหลายเรื่อง จงหัวชุดขาว มาดกินขาดทั้งหุ่นทั้งหน้าตา แต่ดันเป็นตัวร้ายที่เด่นกว่า เดวิดเจียงผมฟู่เซิงที่ดูเด๋อด๋าไม่สมวัย แถมคอสตูมก็ดำๆ เตี้ย เหมือนจะไปไม่รอดกับอาชีพจอเงินเพราะบทไม่ดีเอาเสียเลย ดูแล้วจงหัว โดดเด่น กว่า เดวิดเจียง มากมาย หนังดูสนุกดี ดูเพลิน


ตัวอย่าง

Judgement Of An Assassin (1977) Shaw Brothers **Official Trailer**




เพชฌฆาต เฮ่อหมอเล่อ (Swift Sword, Hei Mo Le) แสดงโดย เดวิดเจียง (David Chiang) อายุ 30 ปี


แส้ทอง ม่านอิ๋งไถ้ (Golden Whip, Man Ying Tai) แสดงโดย Chung Wah อายุ 33 ปี


แม่นางสือ (Miss Sek) แสดงโดย Ching Li อายุ 32 ปี


เสี่ยเหยียนหวัง (Bloody Devil) แสดงโดย Michael Chan อายุ 31 ปี


ประมุขจั๋วหลง (Chief Jau Loong) แสดงโดย Wai Wang อายุ 41 ปี


เม่นแก่ จาหวัง (Old Hedgehog, Cha Wang) แสดงโดย กุ๊ฟง (Ku Feng) อายุ 47 ปี



98

        เฉินโห้ว (Peter Chen Ho) 陳厚 (1931-1970) เจ้าของฉายา King of Comedy ยอดพระเอกชอว์ฯ ยุค 60'S เล่นได้ทุกบทบาท ตลก ดราม่า เต้นรำ แต่ไม่ค่อยจะมีผลงานหนังกำลังภายในและแอ๊คชั่นเท่าไหร่ ผลงานเช่น บุษบาเริงรัก, เลิฟพาเหรด, เศรษฐีนีเท้าไฟ, แผ่นดินเลือด, นกน้อยคะนองรัก, เพลงรักเรียกหา, ฮ่องกงพิศวาส, ศัตรูคู่ชื่น, บลูสกาย, สวรรค์ฮ่องกง, จอมโจรคู่สวาท, สูตรซุปเปอร์แมน, มหาเศรษฐีทีเด็ด, ลูกใครในห้องเรียน เป็นต้น

        เฉินโห้ว แต่งงานกับนางเอกเล่อตี้ มีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน แต่ด้วยนิสัยความเจ้าชู้สุดท้ายก็เลิกลากันไป และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง ในปี 1970 อายุ 39 ปี, เขาจัดเป็นดาราระดับพระเอก ในตำนานของฮ่องกงอีกท่านเลยทีเดียว
99

         เจิ้งเพ่ยเพ่ย นักแสดงหญิงระดับตำนาน ที่กลับมาโด่งดังจากภาพยนตร์ "Crouching Tiger, Hidden Dragon" (พยัคฆ์ระห่ำ มังกรผยองโลก) ของผู้กำกับ อัง ลี  ได้เสียชีวิตแล้วในวัย 78 ปี

โดยนักวิจารณ์ทั้งในตะวันตก และตะวันออกต่างยกย่องว่า เจิ้งเพ่ยเพ่ย ถือเป็นนักแสดงผู้บุกเบิกบทบาทของนักแสดงหญิงหนังในศิลปะการต่อสู้อย่างแท้จริง และหนังของเธอก็ยังถือว่าเป็นต้นกำเนิดของหนังกำลังภายในยุคใหม่ด้วย

         ข่าวระบุว่า เจิ้งเพ่ยเพ่ย เสียชีวิตที่ซานฟรานซิสโกเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เธอป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมและได้บริจาคสมองเพื่อการวิจัยทางการแพทย์


         เจิ้งเพ่ยเพ่ย เกิดที่เซี่ยงไฮ้เมื่อวันที่ 6 มกราคม 1946 และย้ายไปฮ่องกงในปี 1962 ตอนที่อายุได้ 16 ปี จนได้มีโอกาสเริ่มต้นรับงานแสดงที่นั่น

         ด้วยพื้นฐานการฝึกฝนบัลเล่ต์และการเรียนเต้นรำ รวมกับการที่เธอพูดภาษาจีนกลางได้อย่างเป็นธรรมชาติ เจิ้งเพ่ยเพ่ย ได้รับคำแนะนำให้กับสตูดิโอผลิตภาพยนตร์ Shaw Brothers อันโด่งดังในยุคนั้น

         เจิ้งเพ่ยเพ่ย ไม่ได้โด่งดังในทันที ผลงานเปิดตัวของเธอจะเป็นภาพยนตร์ดราม่า "Lovers’ Rock" รวมถึงได้รับบทเป็น "พระเอก" ในหนังเรื่อง The Lotus Lamp หนังงิ้วแบบที่ใช้นักแสดงหญิงรับบทเป็นทั้งนางเอก และพระเอก ซึ่งเป็นที่นิยมในฮ่องกงยุคนั้น


         สุดท้าย เจิ้งเพ่ยเพ่ย มาโด่งดังสุดขีดจากภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้ ในบทจอมยุทธหญิงผู้เชี่ยวชาญการใช้ดาบหลัง จากบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง "Come Drink With Me" (หงส์ทองคะนองศึก) ในปี 1966 ซึ่งกำกับโดย คิง ฮู

         หลังความสำเร็จของ หงส์ทองคะนองศึก เจิ้งเพ่ยเพ่ย แสดงหนังกำลังภายในอีกหลายเรื่อง จนกระทั่งแต่งงาน และย้ายไปอยู่ที่แคลิฟอร์เนียในปี 1970 แต่ตลอดยุค 70,80,90 จนถึงปัจจุบัน ก็ยังกลับมารับงานแสดงที่ฮ่องกง หรือไต้หวันอยู่เป็นระยะ

         เจิ้งเพ่ยเพ่ย เลี้ยงดูลูกสี่คนที่อเมริกา และตัวของเธอเองก็ได้เข้าเรียนในโรงเรียนธุรกิจที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เออร์ไวน์
100
         จากเรือนร่างที่สูงโปร่งได้ส่วนสัด ยิ้มที่อ่อนหวาน แสดงความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง เสียงเจรจาที่ระรื่นหู อารมณ์ที่เบิกบานแจ่มใสอยู่เป็นนิจ และที่สำคัญคือความไม่ถือตัว จึงก่อให้เกิดเสน่ห์ และความประทับใจแก่ผู้พบเห็นโดยสมบูรณ์ ขณะนี้ไม่ว่าจะย่างกรายไปทิศทางไหน มักได้ยินผู้คนกล่าวขวัญถึง “ราชินีนักดาบ” เสมอ ด้วยเหตุนี้ เราจึงขอนำ “เจิ้งเพ่ยเพ่ย” (แต้ ปวย ป๋วย) Cheng Pei-Pei 鄭佩佩 มาทำความรู้จักกับท่านผู้อ่าน "ดาราภาพ” ในฉบับนี้


         ชั้นเชิงดาบ และบุคลิกของ “ราชินีนักดาบ” ทำให้สองมือของเราอยู่ไม่นิ่ง ต้องยกขึ้นมาปรบเพื่อชมเชยในความสามารถของเธอ ใครจะรู้ว่าในอดีตที่เธอมีอายุเพียง 12 ปี หน้าที่อะไร ที่มารดาเธอทำได้ เธอก็สามารถทำให้เหมือนกัน เพราะบิดาของเธอละทิ้งหน้าที่ของพ่อบ้านไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น มารดาต้องดิ้นรนหาเงินมาเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว เธอจึงรับภาระทั้งหมดของมารดามาทำเสียเอง เวลาผ่านไป 4 ปีเต็ม บริษัทชอว์ บราเดอร์ เปิดรับสมัครตาราภาพยนตร์รุ่นใหม่

         ความไฝ่ฝันในขณะตื่นของมนุษย์ ย่อมมีอยู่ถ้วนทั่วทุกตัวตน แต่สำหรับ "เจิ้งเพ่ยเพ่ย” เธอใฝ่ฝันอยากเป็นดาราภาพยนตร์ จนก่อให้เกิดความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นพยายามที่จะให้เป็นอย่างนั้นให้ได้ ความหวังของเธออยู่แค่เอื้อมแล้ว เมื่อเธอเข้ามาเป็นดาราในสังกัดของชอว์ บราเดอร์ เพียงแค่เสียเวลาฝึกอีกหน่อยเท่านั้น ก็จะเป็นจริงขึ้นมา

         ภาระกิจของเธอเพิ่มมากขึ้น เข้าขึ้นไปเรียนหนังสือตามปกติ (หมายถึงดูแลน้องชาย น้องสาว 2 คน ไปโรงเรียนเรียบร้อยก่อน) ตอนบ่ายเข้าโรงเรียนฝึกหัดของบริษัทฯ กลับถึงบ้านก็ทำงานต่อ มารดาของเธอเห็นเช่นนี้ก็สงสาร ส่วนน้าชายผู้ซึ่งมองอาชีพการแสดงเป็นอาชีพที่ไม่จีรังยั่งยืน ไม่เห็นน่าสรรเสริญตรงไหน ก็บอกให้เธอลาออกเสีย ซึ่งถ้าเป็นคำสั่งของมารดาแล้วละก้อ เธอคงไม่ต้องเสียเวลาคิด คงออกทันที เพราะเธอรัก และเคารพมารดามาก เมื่อมารดาไม่ขัดข้อง เธอก็ก้มหน้าก้มตาฝึกต่อไป

         8 เดือนให้หลัง เธอจบหลักสูตรนี้ ทางบริษัทฯ จัดงานฉลองรับขวัญดารารุ่นน้อง “ชายเลี้ยงแกะกับหญิงทอผ้า” เป็นละครบนเวที ที่เธอแสดงร่วมกับเจียงชิง บทบาทดีเกินคาด จนผู้กำกับหลายท่าน และสื่อมวลชนที่ร่วมอยู่ ณ ที่นั้น ต่างยอมรับในความสามารถของเธอ แสดงว่าดาวดวงเด่นภายใต้ชื่อ บริษัท ชอว์ บราเดอร์ เริ่มจรัสแสงขึ้นอีกดวงแล้ว

         เจิ้งเพ่ยเพ่ย มีนิสัยดีเลิศ เข้มแข็งเด็ดเดียว ขยันขันแข็ง อยู่โรงเรียนงานเล็กงานน้อยไม่เคยเกี่ยง ข้อความนี้ไม่ใช่เขียนขึ้นเพื่อยกย่องเธอ เพราะเป็นความจริงจากปากของผู้เป็นอาจารย์ของเธอมาถึงระยะเวลา 4 ปี นิสัยใจคอ และความประพฤติ อาจารย์ย่อมมองออก จึงไม่เป็นปัญหาเลยว่าจะไม่เป็นความจริง

         พูดถึงรสนิยมในการแต่งกายของเธอแล้ว เสื้อผ้าของเธอแต่ละชิ้น มารดาเป็นผู้สรรหามาให้ทั้งสิ้น เพราะเธอไม่มีเวลาหาเอง แล้วที่หามาแต่ละชุด เธอก็ใช้ได้เสมอ จะเห็นได้ว่าเธอเป็นคนแต่งกายง่ายมาก มักมีนักข่าวว่าเธอไม่ เหมือนดาราคนอื่น ว่างจากเข้ากล้องแล้ว เครื่องสำอางค์ที่ว่ามีอิทธิพลต่อสตรีมามากต่อมาก แต่กับเธอแล้ว ไม่มีความหมาย เพราะเธอไม่ชอบใช้เลย

         ด้วยเหตุที่เธอร่ำเรียนบัลเล่ย์ มาตั้งแต่อายุ 4 ขวบ รวมเวลาที่เธอเรียนวิชาแขนงนี้มานานถึง 5 ปีเต็ม แน่ละเธอย่อมแตกฉานในด้านนี้ ชอว์ บราเดอร์ จึงตกลงใจจะมอบให้เธอเป็นผู้ฝึกซ้อมระบำ ที่มีในภาพยนตร์เรื่อง “โคมวิเศษ” The Lotus Lamp 寶蓮燈 และ “เสน่ห์แม่ยั่วเมือง” The Last Woman of Shang 妲己 เรื่องแรกเธอร่วมแสดงด้วย จำแลงเรือนร่างอย่างสง่างาม ในวัยหนุ่มน้อย และตอนแก่ สร้างความเกรียวกราวขึ้นอีกครั้ง

         “ผาวิปโยค” Lover's Rock 情人石 เป็นเรื่องแรกที่เธอแสดงเป็นนางเอก เธอได้รับรางวัล “ดาวรุ่งพรุ่งนี้” หมายถึง ผู้ที่มีอนาคตการแสดงไกลที่สุด จากเรื่องนี้เพียงเรื่องแรกของเธอ ก็เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ ก็พอจะเป็นหลักประกันได้ว่า เธอคงเดินอยู่บนเส้นทางนี้ไปอีกไกลแสนไกล กาลเวลาไม่เคยหยุดรอคอยสิ่งใด มันซื่อตรงอย่างไม่มีใดเหมือน เวลาเป็นสมบัติล้ำค่าที่พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์ประทานมาให้ ผิดแต่ผู้ใดจะรู้จักใช้ ให้เกิดคุณค่าเพียงไหน เจิ้งเพ่ยเพ่ยไม่เคยปล่อยให้กาลเวลาผ่านไป อย่างไร้ประ โยชน์ เธอถือการศึกษาเป็นกรณียกิจประจำชีวิต เวลาว่างจากการถ่ายภาพยนตร์ เธอซ้อมบัลเล่ย์ เพลงดาบ หัดขี่ม้า แต่สิ่งหนึ่งที่เธอจะขาดไม่ได้คือ การเขียนบันทึกประจำวัน

         ส่วนทางบริษัทฯ นั้น ได้ส่งสายลับมาสืบดูว่า มีดาราคนไหนมาสาย ตรวจสอบดูปรากฏว่าเจิ้งเพ่ยเพ่ย คือ บุคคลที่มาตรงต่อเวลาที่สุด ไม่เคยปล่อยให้ผู้อื่นรอคอยเลย รางวัลที่ไม่เคยมีใครได้รับมาก่อนนี้ จึงตกเป็นของเธอ มีนักข่าวเข้าไปถามความเห็นเธอ

         เธอกล่าวว่า “อันที่จริงไม่น่าจะเดือดร้อน เพราะการรักษาเวลาให้ตรง เป็นสิ่งที่พวกเรานักแสดง ต้องคำนึงถึงก่อนสิ่งอื่นเสมอ จึงไม่เป็นของแปลก ที่ดิฉันมาตรงตามเวลา สำหรับดาราผู้อื่นเขาก็คงติดธุระ สุดวิสัย ไม่เช่นนั้นก็ต้องมาตามเวลาเสมอ ถึงอย่างไรก็ตาม ดิฉันก็ดีใจที่ได้รับรางวัลในวันนี้"

         เจิ้งเพ่ยเพ่ยย่อมไม่ลืม “หูจวิ้นฉวน” King Hu 胡金銓 ผู้กำกับมือเอกแห่ง “หงษ์ทองคะนองศึก" Come Drink with Me 大醉俠 ที่ทำให้เธอครองตำแหน่งราชินีนักดาบ เธอให้สัญญาว่า ถ้าหมดข้อผูกพันกับบริษัท ชอว์ฯ แล้วละก็ จะแสดงให้กับบริษัทฯ ของผู้กำกับผู้นี้ ข่าวคืบหน้าเราคงจะได้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้

         ปี 1967 เธอกับ “หูอินหลี” เดินทางไปเรียนบัลเล่ย์กับดนตรี ที่ญี่ปุ่นเพิ่มเติม ด้วยทุนรอนของบริษัทฯ ซึ่งก็ตรงกับจุดมุ่งหมายของเธออยู่แล้ว ในอนาคตถ้าเธอออกจากจักรวาลบันเทิงแล้วละก้อ จะเปิดโรงเรียนสอนบัลเล่ย์ และพยายามถ่ายทอดบัลเล่ย์ ที่ร่ำเรียนมา สู่อนุชนรุ่นหลังอย่างไม่รู้โรย


Come Drink With Me Official Trailer

         เคยมีข่าวว่า เธอกับ "เยี๊ยะหัว" Yueh Hua 岳華 มีสัมพันธ์สวาทกันอย่างลึกซึ้ง เรื่องนี้เธอบอกว่า “ไม่จริงเราสองคนรักกันฉันพี่น้อง เพราะทัศนะที่ถูกคอกัน” ณ บัดนี้สิ่งที่มายืนยันคำพูดของเธอก็คือ เธอรับหมั้นกับนักเรียนนอก ซึ่งกำลังทำปริญญาเอกอยู่ที่สหรัฐ ฯ ในแขนง “คอมพิวเตอร์” ทั้งสองรู้จักกันเมื่อ 7 ปีก่อน ขณะที่ไปถ่ายทำภาพยนตร์ เรื่อง “ผาวิปโยค” ที่ไต้หวัน แล้วเธอก็ให้ติดต่อกันเรื่อยมา

         สิ้นปีนี้ สัญญาที่เซ็นไว้กับ บริษัท ชอว์ บราเดอร์ ก็จะสิ้นสุดลง เธอตั้งใจจะออกทันที แต่ข่าวล่าสุดแจ้งมาว่า เธอทนคำอ้อนวอนของ รัน-รันชอว์ ไม่ได้ จำใจตกลงเซ็นต่ออีก 1 ปี พร้อมกับทางบริษัทฯ ก็อนุญาตให้เธอบินไปสหรัฐฯ เพื่อปรึกษาหารือกับคู่หมั้น โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมด ชอว์ฯ รับเหมา

         เจิ้งเพ่ยเพ่ย ชอบแสดงภาพยนตร์เพลง, ชีวิต มากกว่า ภาพยนตร์ประเภทกำลังภายใน แต่คนดูส่วนมากก็ชอบเธอในบท “นักดาบ” เธอตั้งความหวังไว้ว่า สัญญาที่เซ็นต่อไปนั้น ชอว์ บราเดอร์ คงหาภาพยนตร์ชีวิต เพลง มาให้เธอแสดง แต่ข้าพเจ้าคิดว่า เธอคงได้แต่คอย เพราะบัดนี้ตำแหน่ง “ราชินีนักดาบ” ตั้งขึ้นโดยสื่อมวลชนของฮ่องกงเมื่อวันที่ 15-21 มีนาคม เธอนำลิ่วมาด้วยคะแนนสูงถึง 44,636 รองลงมาก็คือ “ฉินผิง” ที่สามก็คือ "ซ่างกวนหลิงฟง” นางเอกจาก “ตะลุยแดนพยัคฆ์”

         เจิ้งเพ่ยเพ่ย จะยังเป็นคนของประชาชนต่อไปอีกนานแสนนาน ตราบใดที่เธอยังเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้

=============================
***บทความโดย คุณ"กุลนิตย" ตีพิมพ์ในนิตยสาร "ดาราภาพ" ปีที่ 13 เล่มที่ 14 เดือนตุลาคม 2512(1969)
หน้า: 1 ... 8 9 [10]