ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 8 โดย พี่ชาติ อธิษฐาน
25 พ.ย. 60
คุณ มนัส กิ่งจันทร์...ที่รัก
วันนี้ ผมยังเขียนที่เดิม รอให้คุณมนัสมาช่วยแชร์ครับ
++++++++++++++++++++++
ชีวิตนักพากย์ ตอนที่ 8
หลังจากหมดบุ๊กที่จังหวัดอุทัยธานีแล้ว
หนังมีวันว่างอยู่ 4 วัน ผมจึงกลับมาพักที่ปากน้ำโพ
ที่นี่ มีห้องพักไว้ให้นักพากย์ที่นอนรอหนัง หรือบุ๊กว่าง
แถมมีอาหารให้ 3 มื้อ โดยไม่ต้องออกไปเสียเงินซื้อกินเอง
บางช่วง มีนักพากย์หลายคนหมดบุ๊กพร้อมๆกัน ก็ได้มาพูดคุย
แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนะนำชื่อพากย์ของตนเองให้เพื่อนร่วมบริษัทได้รู้จักกันไว้
มีหลายคนถามผม ว่ามีชื่อพากย์ว่าอย่างไร ผมก็ตอบไปว่า
"คีรีบูนน้อย"
หมายถึงนกคีรีบูนตัวน้อยๆที่ส่งเสียงกล่อมธรรมชาติ
บริการชาวเหนือ เฉลิมชาติภาพยนตร์
มีอาคารสำนักงานตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตกของโรงหนังเฉลิมชาติ ปากน้ำโพ หรือ นครสวรรค์
นับเป็นบริษัทแรกที่จัดตั้งขึ้นเพื่อจำหน่ายภาพยนตร์ ทั้งไทย - จีน - ฝรั่ง - อินเดีย ตลอดในภาคเหนือ ขึ้นไปจนถึงเชียงใหม่
เชียงราย แม่สาย...
ส่วนด้านใต้นครสวรรค์ลงมา ผมไม่รู้ว่าสิ้นสุดจังหวัดไหน แต่
ผมเคยมาพากย์หนังสายถึงดอนเมือง ซึ่งเป็นโรงหนังในการบริหารของ "จ่าชำนาญ" นายทหารอากาศ แล้วยังมีการพาไปเร่ถึงคลอง 8 และคลอง 10 เกือบๆจะถึงจังหวัดฉะเชิงเทรา...
บริการชาวเหนือ เฉลิมชาติภาพยนตร์
มีนักพากย์ดังๆในยุคนั้นอยู่มากมายหลายคนและหลายคู่ เท่าที่จำได้ก็มี
"ศุภลักษณ์ - นิภา"
"ฟ้าฟื้น - รัศมี"
"ดาราพันธ์ - วันทนีย์"
"พันธ์ลพ - นพรัตน์"
"อารมณ์ - ละม่อม"
"ราชา - วิไลลักษณ์"
ส่วนนักพากย์เดี่ยวก็มี
รุจิกร, นันทวัน, อรทัย, กอบกุล, และ กาหลง,
ผมมาพักอยู่ที่บ้านพักข้างโรงหนังเฉลิมชาติได้วันเดียว
รุ่งขึ้นเจ้านายก็ใช้ให้ไปพากย์กลางแปลงที่อำเภอ ทัพทัน จังหวัดอุทัยธานี...
เออ เพิ่งกลับมาจากอุทัยธานี ก็ต้องกลับไปอุทัยอีกแล้ว
จังหวัดอุทัยธานี เป็นจังหวัดที่สองรองจากเชียงใหม่ ที่ผมไปพากย์หนังบ่อยที่สุด
แต่มาคราวนี้ ผมไม่ได้แวะหาชลอ ผมเลยไปอำเภอทัพทันเลย ที่นั่นเขามีงานประจำปี มีลิเก รำวง และหนังกลางแปลง
ตกกลางคืน...หนังยังไม่ฉาย ทางวัดสั่งให้รอไว้ก่อน ให้คณะรำวงได้เริ่มก่อน เพื่อหาเงินเข้าวัด
รำวงตามงานวัดสมัยนั้น แต่ละวงจะมีนางรำไม่ต่ำกว่าวงละ 10 คนขึ้นไป ทุกคนจะนุ่งกระโปรงสั้นเหนือหัวเข่า ขึ้นมานั่งบนม้านั่งที่เขาจัดไว้ให้ ข้างล่างเป็นที่ขายตั๋ว หนุ่มๆก็มาซื้อตั๋ว แล้วรีบแย่งกันขึ้นไปจองตัวนางรำที่ตนเองหมายตาไว้ แล้วส่งตั๋วให้นางรำ
พอเสียงนกหวีดปรี๊ด...เสียงกลองเสียงฉิ่งเริ่ม นักร้องเพลงเชียร์รำวงก็ร้องเพลงซึ่งส่วนมากเป็นเพลงฮิตในสมัยนั้น และ
งานร้องเพลงเชียร์รำวง ก็ทำให้หลายคนกลายมาเป็นนักร้องดังประจำยุคไป เช่น ยอดรัก สลักใจ หรือ นิพนธ์ คนหาดแตงโม อำเภอตะพานหิน บ้านเขาอยู่เลยบ้านผมไปประมาณ 3-4 กิโลเมตร
เมื่อเพลงจบ การรำก็หยุด นางรำกลับเข้านั่งที่ ส่วนพวกหนุ่มๆก็ต้องลงจากเวทีไป เปิดโอกาสให้พวกที่จองตั๋วรอบต่อไปได้ขึ้นมารำ...
คืนหนึ่งๆ รำวงสามารถทำเงินให้ทางวัดได้เป็นกอบเป็นกำ...
ผมยืนดูรำวงสักพัก...ก็เดินเรื่อยเปื่อยไปตามร้านค้าที่มาตั้งเรียงราย...จนกระทั่ง
พระพรหม...อีกแหละ
ที่นำให้ผมมาพบผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
เธอเป็นแม้ค้าขายอ้อยขวั้น ตั้งกระจาดวางอยู่ริมทาง ข้างตัวเธอมีเสื่อกกผืนขนาดกลางปูวางไว้สองผืน เผื่อลูกค้ามานั่งกินอ้อยไปแล้วก็ขายขนมจีบให้แม่ค้าไป
ผมเดินมาถึงหาบอ้อยของเธอก็สะดุดกึก
แม่ค้าคนนี้สวยยยย
ไว้ผมยาว หน้ารูปไข่ ผิวพรรณดีทีเดียว
พอเห็นผมเดินผ่านมาเธอก็ร้องเชิญชวนให้ซื้ออ้อยขวั้น
โอ... ไม่ต้องเชิญหรอก
ผมสะดุดความสวยของเธอเข้าแล้วอย่างจัง
ผมยืนมองเธอ แล้วยิ้มให้
เธอยิ้มหวาน แล้วชี้มือไปที่เสื่อ
"เชิญนั่งก่อนค่ะ..."
ผมลงนั่งตามคำเชิญ แล้วสั่งอ้อยมากิน นั่งกินไปคุยไป
เธอชื่อ สุนีย์ นามสกุล พิลึก
นามสกุลนี้ดังมากในเขตจังหวัดอุทัยธานี และนครสวรรค์
เพราะมีผู้แทนท่านหนึ่ง นามสกุลพิลึก
สุนีย์บอกว่า เป็นลุงของเธอเอง
คุยกันไม่ทันไร หัวใจผมก็หล่นไปอยู่แทบตักเธอเสียแล้ว
สุนีย์เป็นคนที่สอง ที่ผมรู้สึกรัก อยากได้เป็นคู่ครอง รองมาจาก ตี่ หรือดวงใจ คนที่ผมเคยเล่าไปแล้ว
ผมนั่งอยู่จนได้เวลาหนังฉาย ก็กลับไปพากย์หนัง
หนังเลิกแล้ว ทางเจ้าของจอรีบพาผมขึ้นรถมาส่งที่โรงแรมในจังหวัดอุทัยธานี โดยไม่มีโอกาสร่ำลาสุนีย์เลย
รุ่งขึ้นก็กลับปากน้ำโพทันที
มานอนคิดนั่งคิด คิดถึงแต่หน้าหวานๆของสุนีย์
นั่งบ่นบานศาลกล่าว ให้ผมได้กลับไปทัพทันอีกครั้ง คราวนี้ผมจะไม่รีรอที่จะกล่าวสารภาพรักกับสุนีย์...เป็นไรเป็นกัน...
ให้ตายเถอะ พระเจ้ามีจริง แล้วก็บันดาลให้ผมจริงๆ
รุ่งขึ้นอีกวันต่อมา เจ้านายก็สั่งให้ผมไปพากย์หนังอีกเรื่องหนึ่ง
ที่ทัพทัน...ที่เก่านั่นแหละ
ผมดีใจสุดๆ รีบเดินทางไปทันที...
คืนนั้น...ผมรีบมานั่งจองเสื่อไว้แต่หัวค่ำ
ชวนสุนีย์คุยโน่นคุยนี่ รอเวลาให้ใจกล้าๆ จะได้สารภาพรักกับเธอ สุนีย์เองก็ดูเหมือนจะมีใจให้ผมไม่น้อย เธอพูดถึงแม่ว่า หลังจากพ่อตายแล้ว แม่ต้องทำงานลำบากหาเลี้ยงลุก แม่สั่งสอนเธอว่า คบผู้ชายให้ดูด้วยนะ ถ้าเป็นพวกขี้ยา หรือพวกนักพนัน อย่าคบ ให้คบแต่คนดีๆ ขยันทำมาหากิน แม้จะยากจนแม่ก็ไม่ว่า...
ผมได้จังหวะ อ้าปากจะสารภาพ
แต่...ให้ตายเถอะ!!!
ดันมีไอ้หนุ่มลูกทุ่งสองสามคนเข้ามานั่งข้างๆผม แล้วสั่งอ้อยขวั้นมากิน ทำให้ผมหมดโอกาสไปทันที
โธ่... ไอ้มาร... ผมนึกด่าในใจ พร้อมกับลุกขึ้นยืน บอกลาสุนีย์ เพราะอยู่ต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์แล้ว
คืนนั้น...ผมพากย์หนังได้แย่ที่สุด ตั้งแต่พากย์หนังมา
ใจคอมันพะวงถึงแต่สุนีย์ ป่านนี้ ไอ้พวกนั้นคงขายขนมจีบให้เธอกันจ้าละหวั่น สุนีย์จะเป็นไงบ้างไม่รู้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า จะมี
ไอ้หนุ่มคนไหนมาชนะใจสุนีย์ แย่งชิงเธอไปจากใจของผม
หนังจบแล้ว ผมขอเวลาเจ้าของจอเพื่อไปร่ำลาสุนีย์
แต่...
สุนีย์กลับไปแล้ว
ถามร้านข้างๆ เขาบอกว่าคืนนี้เธอขายดี อ้อยหมด เลยกลับไปก่อน โดยไม่ได้สั่งอะไรไว้เลย
โอ... มันโหวงเหวงยังไงพิกล เดินไปคิดไป ทำไมดวงเราถึงเป็นอย่างนี้นะ รักผู้หยิงคนไหน ไม่เคยสมใจหวังเลย
แล้วผมก็กลับมาด้วยหัวใจอันหดหู่พิกล
ในราวสักหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็มีโอกาสกลับไปพากย์หนังที่อุทัยธานีอีก ได้พบกับชลออีก
แต่คราวนี้ มันไม่ค่อยรื่นเริงเหมือนเก่าแล้ว เพราะจิตใจคิดถึงแต่สุนีย์คนเดียว...
ชลอบอกว่า...คราวหน้าพี่มาจะไม่เจอชลอแล้ว เพราะต้องตามลุงไปอยู่อุตรดิตถ์ คุณลุงได้เลื่อนเป็นผู้ว่า ทางการส่งไปอยู่อุตรดิตถ์ ถ้าพี่ไปพากย์หนังที่นั่น ให้ทางโรงเขาประกาศชื่อพากย์ด้วยนะ ชลอรู้จะได้มาหาพี่
ก่อนจากกัน ชลอมอบแผ่นสไลด์ให้ผมมา 2 แผ่น เป็นรูปเธอ กำลังยืนอยู่ข้างดอกไม้...
แผ่นสไลด์...ก็คือกระจกฉายสำหรับโฆษณาสินค้าต่างๆของโรงหนัง ทำด้วยกระจกสองแผ่นผนึกติดกัน โดยมีรูปหรือข้อความที่จะโฆษณา
ก่อนหนังฉาย พนักงานจะฉายภาพในแผนสไลด์ไปที่จอ แล้วโฆษกประจำโรงหนังก็จะอ่านข้อความโฆษณานั้น ประชาสัมพันธ์กับคนดู ว่า ร้านค้าแห่งนั้นๆ กำลังลดราคาสินค้า... แผ่นกระจกหรือแผ่นสไลด์นี้ จะมีกันทุกโรงหนัง
ชลอสั่งว่า เก็บแผ่นนี้ไว้ คิดถึงน้องสาวคนนี้เมื่อไรก็เอามาให้คนฉาย ฉายให้ดู...
ผมกลับมาอยู่ปากน้ำโพได้สองสามวัน เจ้านายก็เรียกไปพบ
บอกว่า โปรแกรมต่อไปจะได้พากย์หนังไทยใหม่เอี่ยม เรื่อง
"สาวสมัยใหม่"
ให้หาเวลาซ้อมหนังก่อนออกสตาร์ท เพื่อจะได้ไม่มีอะไรผิดพลาด...
"ซ้อมหนัง" ก็คือเอาหนังเรื่องที่เราจะพากย์ มาฉายดูในห้องซ้อม หรือห้องเล็กที่บริษัทจัดไว้ให้โดยเฉพาะ อยู่บนชั้นสองบองบริษัท พร้อมกับบอกว่า ผลงานพากย์ที่ผ่านๆมา ได้รับคำชมจากทางเจ้าของโรงมากมาย เริ่มโปรแกรมใหม่ จะเพิ่มเงินเดือนให้เป็น 1,500 บาท
โอโฮ!!!
อะไรจะขนาดนั้นวะ ไอ้ชาติเอ๊ยยยย
นายอำเภอสมัยนั้นยังเงินเดือนแค่ 1,200 เท่านั้นเอง
ผมยกมือไหว้เจ้านายปลกๆด้วยความดีอกดีใจ
หนังมาเริ่มสตาร์ทที่โรงหนังสังวาลวัฒนา ตลาดตะพานหินบ้านผม ผมประเดิมเริ่มพากย์ สาวสมัยใหม่ที่บ้านเกิดนี่เอง
สาวสมัยใหม่ นำแสดงโดยดาราตลกยุคนั้น คือ สมพงษ์ พงษ์มิตร รับบทเป็นคนอนาถาที่ปลอมเป็นเศรษฐี เพื่อหวังแต่งงานกับเศรษฐินี เป็นหนูตกถังข้าวสาร
นาฎยา รัมภเวช รับบทเป็นเศรษฐินีตกยาก ที่พยายามหาทางแต่งงานกับเศรษฐีเพื่อยกฐานะกลับมา แล้วก็มี ชูศรี โรจนประดิษฐ์ เป็นตัวช่วยนางเอก
หนังเรื่องนี้ ต่อมาได้ดัดแปลงมาสร้างใหม่ในชื่อ "เศรษฐีอนาถา" นำแสดงโดย เจิม ปั้นอำไพ แสดงดีจนได้รางวัลตุ๊กตาทอง
แล้วพระพรหม...ก็นำให้ผมมาพบกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง
วันรุ่งขึ้นจากสตาร์ทหนัง ผมมาเดินเล่นที่ตลาด ซึ่งกำลังมีงานงิ้วประจำปี แล้วได้พบกับ
คุณ นงนุช ก็ได้ทักทาย จนได้ทราบว่า เธออยู่กับแม่บุญธรรม
และจะให้เธอแต่งงานกับชายสูงอายุคนหนึ่งที่เพชรบูรณ์ แต่เธอยังไม่พร้อม เพราะตอนนี้เพิ่งอายุ 15 ปีเท่านั้น
ผมก็ชวนเธอว่า
"ไปหัดพากย์หนังกับผมไหม?"
เท่านั้นแหละ ได้เรื่อง เธอรีบกลับไปเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า แล้วมาหาผม...พร้อมที่จะไปใช้ชีวิตกับผม...
จากนั้นผมก็พาเธอติดตามไปทุกโรงหนังที่ไปพากย์ พร้อมกับพยายามสอนให้เธอพากย์หนังไปด้วย โดยตอนแรก ให้ลองพากย์เสียงนางเอก ส่วนบทของชูศรี ผมรับพากย์เอง เนื่องจากชูศรีเป็นนางตลก บทบาทกระโดกกระเดก เธอยังทำเสียงไม่เป็น
แล้วก็ถึงวันโลกแตก!!!
หลายวันต่อมา ผมเดินทางมาพากย์ที่โรงหนังอุตรดิตถ์
ตอนนั้นผมยังใช้ชื่อพากย์ "คีรีบูนน้อย" ยังไม่เปลี่ยนชื่อ
คนโฆษณาก็ประกาศไปทั่วตลาด
ช่วงบ่าย ผมยังพักอยู่ที่โรงแรม เด็กโรงแรมขึ้นมาบอกว่า
มีคนอยากพบนักพากย์ ให้ลงไปหา
อ้ะ!!!
ชลอนั่นเอง...
เธอดีอกดีใจถึงขนาดโดดกอดผมโดยไม่อายใคร
บอกว่า ตอนนี้มาอยู่กับลุงที่เป็นผู้ว่าจังหวัดอุตรดิตถ์
ได้ยินเสียงโฆษณาว่าพี่มาพากย์ จึงรีบมาหาทันที คิดถึงมาก
แล้วก็ดีใจมากด้วย ความฝันของชลอใกล้ถึงวันจริงแล้ว พี่ได้พากย์หนังไทย ต่อไปคงต้องพากย์คู่ และคู่พากย์คนแรกของพี่ก็จะต้องเป็น...
เธอเว้นไว้แค่นั้นแล้วถามว่า พี่พักอยู่ห้องไหน
พอผมบอก ชลอก็รีบผลุนผลันขึ้นไปบนชั้นสองของโรงแรมที่
ผมพักอยู่ทันที ผมรีบตามขึ้นไปติดๆ
เสียงชลอดังแว่วๆว่า
"ดีใจจังเลย ชลอจะได้เป็นนักพากย์แล้ว ได้อยู่กับพี่ตลอดไปแล้ว...
จากนั้นเธอก็เปิดประตูผลั๊วะเข้าไปในห้อง
แล้วทันใดนั้น...
ชลอชะงักอยู่กับที่เหมือนถูกตรึง
เมื่อเธอมองไปเห็นคุณนงนุชนั่งอยูบนเตียงนอนในห้องนั้น
ชลอหันรีหันขวาง
มองกลับมาทางผม
แล้วก็หันไปมองคุณนงนุช
กลับไปกลับมาสักสองสามครั้ง
แล้วก็หัวเราะแค่นๆ พูดออกมาว่า
"อ้อ ชลอลืมไป ชลอยังมีงานค้างอยู่ ชลอกลับก่อนละ"
แล้วเธอก็ผลุนผลันออกจากห้องไป
ปล่อยให้ผมยืนเซ่ออยู่ตรงนั้น...
ไว้รออ่านต่อพรุ่งนี้ครับ...
++++++++++++++++++++++++
