• ชื่อไทย : นรกเรียกพ่อ
• ปีที่เปิดตัว : 2567
• เข้าฉายในไทย : 11 มกราคม 2567
• นำแสดง : Jason Statham, Emmy Raver-Lampman, Bobby Naderi
• กำกับโดย : David Ayer
• เขียนโดย : Kurt Wimmer
• ประเภท : Action / Thriller
• เรต : R
• ความยาว : 105 นาที
• สร้างโดย : UK / USA
• จำหน่ายโดย : Mongkol Major มงคล เมเจอร์
เรื่องย่อ The Beekeeper นรกเรียกพ่อ The Beekeeper นรกเรียกพ่อ หนังแอ็คชั่น ระทึกขวัญ ที่ว่าด้วยเรื่องราวสุดระทึกเมื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์จอมต้มตุ๋นได้หลอกเอาเงินป้าเพื่อนบ้านคนสนิทของ อดัม เคลย์ จนหมดตัวถึงขั้นปลิดชีวิตตัวเอง อดีตเจ้าหน้าที่สุดเหี้ยมในโครงการ "บีคีปเปอร์" อย่างอดัมจึงต้องกลับมาปฏิบัติหน้าที่ล้างโคตรพวกแก๊งโฉดชั่วพื่อล้างบางองค์กรชั่วช้านี้ให้สิ้นซาก
เรื่องราวของ อดัม เคลย์ (เจสัน สเตแธม) อดีตเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการลับมือพระกาฬในโปรแกรม บีคีปเปอร์ ที่ใช้ชีวิตหลังเกษียณอย่าสงบในการเลี้ยงผึ้งแต่เกิดเหตุพลิกผันเมื่อคุณป้าเพื่อนบ้านคนสนิทของเขา ปลิดชีวิตตัวเองลงเพราะตกเป็นเหยื่อของพวกกลุ่มคอลเซ็นเตอร์ต้มตุ๋น
รีวิวหนัง The Beekeeper นรกเรียกพ่อ ภัยโจรกรรมจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่ก็เป็นภัยร้ายที่คุกคามผู้คนให้ตกเป็นเหยื่อจำนวนไม่น้อยเลย และมันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทย แต่เป็นภัยที่คนทั่วโลกต้องเผชิญ และหนังเรื่องใหม่ของตัวพ่อขาบู๊ก็ได้หยิบเอาภัยนี้มาขยี้ได้อย่างสุดติ่งกับ "The Beekeeper นรกเรียกพ่อ" หนังแอคชันแบบสร้างความสะใจให้กับคนดูได้อยู่หมัด ถึงมันจะซ้ำซากจำเจไปทุกตรอกซอกซอยของหนังก็ตาม
The Beekeeper เป็นเรื่องราวของ อดัม เคลย์ ชายวัยเกษียณที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายโดยการเลี้ยงผึ้ง แต่แล้วความสงบสุขของเขาก็ถูกทำลาย เมื่อป้าข้างบ้านที่เขาไว้ใจเพียงหนึ่งเดียวได้ทำการจบชีวิตตัวเองลง เพราะตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซนเตอร์ต้มตุ๋น จากชายเลี้ยงผึ้งธรรมดา อดัมต้องสวมตัวตนในอดีตของเขาอีกครั้ง ในนาม บีคีปเปอร์ เพื่อทำภารกิจล่าแค้นส่วนตัวและสาวไส้องค์กรลับ งานนี้จัดเต็มทุกกระสุน รวมมิตรทุกแรงกระแทก ไร้ความปรานีจนกว่าจะลากคอผู้ที่อยู่เบื้องหลังแก๊งชั่วนี้ให้ได้
นี่คือผลงานล่าสุดของอีกหนึ่งผู้กำกับขาบู๊ประจำวงการ "เดวิด เอเยอร์" หลังจากที่วุ่น ๆ ไปหยิบจับทำหน้าฮีโรมาได้อยู่หลายปี เขาก็พยายามหาทางกลับมาสู่เส้นทางหนังแอคชันทริลเลอร์แนวที่คุ้นเคยอีกครั้ง ผลงานเรื่องก่อนหน้า อย่าง The Tax Collector ก็จะไม่ถูกจริตนักวิจารณ์เท่าไหร่ แต่เมื่อมาแก้มือใน The Beekeeper เรื่องนี้ ต้องบอกเลยว่า เดวิด เอเยอร์ คัมแบ็กกลับมาแล้ว เขาหาทางกลับมาได้จริง ๆ
แม้ว่าจะเป็นการคัมแบ็กจากหลุมเดิมที่ฝังเขา แต่ก็ใช่ว่า The Beekeeper จะเป็นหนังที่สมบูรณ์แบบอะไร เพราะนี่คือการจับวางสูตรสำเร็จของหนังบู๊ทรงเดิม ๆ ที่แทบจะไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย โทนหนังก็ยังมากับสไตล์ขึงขัง พูดน้อยต่อยหนัง ตามรูปแบบหนังของ "เจสัน สเตแธม" ทั่ว ๆ ไป ขณะที่บทหนังก็ตื้นเขินไปหมด เดาทางได้ไม่ยาก และกลิ่นอายออกจะไปในทางหนังเกรดบีเสียด้วยซ้ำ
The Beekeeper ได้ "เคิร์ธ วิมเมอร์" มือเขียนบทหนังแอคชันที่แทบจะได้มะเขือเทศเน่าเกือบทุกผลงานบน Rotten Tomotoes แน่นอนว่าสไตล์งานปั้นเรื่องของเขาค่อนข้างจะธรรมดาและไม่มีแนวคิดสร้างสรรค์ที่แปลกใหม่เท่าไหร่ แต่อย่างน้อย ๆ ก็ที่หนังหยิบเอาภัยจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์มาปูเรื่องและนำมาเป็นแบล็กกาวน์นั้น ก็เป็นจุดที่ทำให้คนดูมีส่วนร่วมและรู้สึกว่าเป็นภัยที่ใกล้ตัวมากขึ้น อีกทั้งมันยังเป็นสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นจริงกับใครก็ได้
แต่ก็อย่าไปคิดอะไรมาก เพราะ The Beekeeper มาเพื่อดูเอามันส์กระห่ำก็แค่นั้น เพราะตัวโครงสร้างบทก็แทบจะไม่ตื้นลึกหนาบางอะไรเลย จุดขายก็คือ เจสัน สเตแธม ที่ยืนหนึ่งและเอาอยู่แบบทั้งเรื่องคนเดียวได้สบาย ๆ มันกลายเป็นความซ้ำซากจำเจ แต่กลับไม่ได้ทำให้คนดูรู้สึกเบื่อหน่ายเลย การเล่าเรื่องที่ค่อนข้างฉับไวและไหลลื่นดี กับอย่างน้อย ๆ หนังก็มีตัวละครที่น่าหลงใหลให้ชวนติดตามอยู่ไม่น้อย
ซึ่งนอกจาก เจสัน สเตแธม จะมอบลักษณะการแสดงแบบเดิม ๆ ไม่ได้ต่างจากผลงานก่อน ๆ สักเท่าไหร่ เรื่องนี้ยังมี "เจเรมี ไอรอนส์" กับ "จอช ฮันเชอร์สัน" ที่เอาจริง ๆ บทของพวกเขาก็ไม่ได้น่าอภิรมย์อะไรเท่าไหร่ แต่การแสดงของพวกเขาทำได้ถึงและช่วยสร้างสีสันให้กับหนังได้ดูมีความจริงจังมากยิ่งขึ้น โดยที่ "เอ็มมี เรเวอร์-แลมป์แมน" แม้จะได้บทค่อนข้างจืด แต่การตีความของเธอก็เท่ไม่น้อยเลย
ดังนั้น The Beekeeper ถือว่าเป็นหนังแอคชันทรงเดิม ที่เต็มไปด้วยจังหวะที่ซ้ำของเก่าที่เคยเห็นกันมาแล้วทั้งหมด แต่จังหวะการดำเนินเรื่องของหนังค่อนข้างเร้าใจด้วยดี อีกทั้งยังสอดแทรกและหยิบเอาประเด็นที่เป็นภัยใกล้ตัวสังคมในปัจจุบันมาใช้ ทำให้คนดูค่อนข้างรู้สึกคล้อยตามได้ง่าย ๆ โดยที่หนังไม่ต้องมีเนื้อหาอะไรมากมาย ขอแค่นั่งดูไปเพลิน ๆ ให้สะใจเล่นก็น่าจะพอใจแล้ว
แล้วหากว่าคุณเป็นแฟนหนังของเจสัน สเตแธม นี่ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งหนังบูีที่ไม่อยากให้พลาด เพราะเหมือนหนังเกิดมาเพื่อรอให้เขามาแสดงนำเรื่องนี้ ทั้งอินเนอร์และลีลาที่อาจจะไม่ใหม่อะไรเท่าไหร่ แต่กลับมัดใจคนดูเอาไว้ได้อย่างหมดจด ฉากแอคชันทำออกมาได้มันส์ ทั้งที่ความคลินช์ฟุ้งกระจายอยู่เต็มไปหมด แต่เอาน่า...มันก็สนุกดีอยู่