ภาพยนตร์แนวกังฟูยุทธจักรของชอว์ฯ มาสู่โลกแห่งการทรงเจ้า และเสกมนต์ขลังหนังเหนี่ยว ทำเงินเป็นสถิติมิดไนท์ สองเสาร์ซ้อนในกรุงเทพฯ
นำโดย หวังยี่(Wong Yue) 汪禹 คู่แข่งของหวังหยู่ และตี้หลุง-เฉินกวนไถ้ มาสาธิตวิชาลงเลข ลงยันต์ฟันแทงไม่เข้าอย่างสวยอร่อย
ในวงการบู๊ลิ้มของหนังจีน "ชอว์ บราเดอร์ " คือ ผู้บุกเบิกในทุกอิริยาบถ นับแต่หนังประวัติศาสตร์ลือชื่อ อย่าง “จอมใจจักรพรรดิ์” หนังยุทธจักรบันลือลั่นอย่าง “หงส์ทองคะนอง ศึก”, “ดาบไอ้หนุ่ม” และหนังกังฟูประลัยกัลป์อย่าง “ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเขาเหลียงซาน”
บัดนี้ชอว์ฯ เป็นผู้นำอีกแล้ว ในการนำเอาวิชาเชิญเจ้าเข้าทรงเสกมนต์ขลังเหนียว ที่จีนเคยมีมาแต่โบราณ ก่อนสมัยที่ฝรั่งจะยกโขยงเรือปืน เข้ามาทำสงครามฝิ่นกับจีน มาสร้างเป็นภาพยนตร์แนวใหม่ ที่กำลังวิ่งฉิวลิ่วลมเข้าสู่ความนิยมของคนดู
ภาพยนตร์ประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่เรื่อง “ซูสีไทเฮา” ที่ได้รับความนิยมสูงสุดเมื่อปีที่แล้ว ถึงกับชอว์ฯ ต้องสร้างภาค 2 ต่อในปีนี้ ก็มีการสาธิตให้เห็นถึงความเชื่อถือของจีนโบราณ ในเรื่องการอยู่ยงคงกะพัน แต่เรื่องที่ชอว์ฯ เจาะจงสร้างโดยเฉพาะก็คือ เรื่อง “ไอ้เณรจอมคาถา" (The Spiritual Boxer) 神打 (1975)
“ไอ้เณรจอมคาถา” เป็นเรื่องของนักมวยทรงเจ้าสมัยต้นศตวรรษของจีน ที่นายรันมี่ ชอว์ พี่ชายของรันรัน ชอว์ มอบหมายให้ ครูมวยชื่อดัง คือ
หลิวเจียเหลียง(Liu Chia-Liang) 劉家良 ผู้สร้างฉากบู๊บันลือโลก ให้จางเชอะมาเป็นสิบๆ เรื่อง จุติมากำเนิดในโลกผู้กำกับการแสดงเป็นเรื่องแรก
หลิวเจียเหลียง เมื่อได้อำนาจสิทธิขาด ในการบุกเบิกหนังเวทมนต์คาถา เขาก็เตรียมการยิ่งใหญ่ โดยให้ อี้กวง(เหง่ยคัง)-นักเขียนบทหลายรางวัล ผู้ป้อนผลงานให้จางเชอะ และชอร์ฯ มาตลอด เป็นผู้เขียนเรื่องและฉาก และดึงเอาตัว หวังยี่(Wong Yue) 汪禹 ดาราหนุ่มฉกรรจ์ ที่ชอว์ฯ ส่งเข้าแสดงชิมลางในหนังใหญ่มาแล้วหลายเรื่อง เช่น “รสสวาทถิ่นนางโลม” และ “แตกสาว” มารับบทพระเอกเป็นตัว “ไอ้เณรจอมคาถา” หรือไอ้เณรตัวแสบเลยทีเดียว ส่วนนางเอกเขาก็คัดเอากะทิสดรสใหม่ของชอว์ฯ มากินเสียทีเดียวกันเลย คือเอาตัวหลินเจิ้นฉี(Lin Chen-Chi) 林珍奇 เด็กสาวหน้าเข้มตาคม มารับบทเป็นอีหนูจอมแก่น
เมื่อได้มือเอกๆ มาช่วยกันฉะนี้
“ไอ้เณรจอมคาถา” ในความฝันของหลิวเจียเหลียง ก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้น แต่ยังก่อนเขาไม่ลืมคนสำคัญอีกคนหนึ่งในวงการสร้าง นั่นคือผู้กำกับฝ่ายศิลป์ ซึ่งมีความสำคัญเป็นอันมาก ในการเสริมฝีมือยอดเยี่ยมในด้านต่างๆ ให้มองดูเด่นชัดถนัดดา ในสายตาของคอหนัง ตำแหน่งนี้เห็นจะไม่มีใครเกิน จอห์นสัน เฉา(Johnson Tsao Chuang-Sheng) 曹莊生 ผู้มีฝีมือระบือในยุทธจักร จากนั้น “ไอ้เณรจอมคาถา” ก็เริ่มบุกตะลุยปานสายฟ้าแลป ตามเนื้อเรื่องที่พอสรุปได้ ดังนี้
สมัยที่หอกดาบแหลนหลาวยังเป็นอาวุธสำคัญของจีนอยู่นั้น ก็เกิดมีอาจารย์ดีทางหนังเหนียวและเชิญเจ้าเข้าทรงเกิดขึ้นมาก รายทั้งรายของจริงและรายของปลอม จื้อเฉียง(นำแสดงโดย เจียงหยาง) ได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ชั้นดีคนหนึ่ง แต่ก็ขี้เมาไม่เอาไหน เขามีลูกศิษย์ไอ้เณรอยู่คนหนึ่งชื่อ เสี่ยวเซียน(นำแสดงโดย หวังยี่) วันหนึ่ง จื่อเฉียงเมาพับหลับไป มีชาวบ้านกลุ่มใหญ่ มาขอร้องให้ไปเชิญเจ้าเข้าทรงในหมู่บ้าน เพื่อให้พืชผลในไร่นาสมบูรณ์ดี เสี่ยวเซียนได้ท่า จึงอาสาไปทำพิธีเอง แล้วก็เชิญเห้งเจียมาเข้าทรง ได้แสดงอภินิหารเป็นจอมลิงยิงฟันไม่เข้า
จนชาวบ้านเชื่อถือ แต่แล้วก็ถูกฝ่ายตรงข้าม จ้างนักเลงดีมาล้มพิธี ทำเอาเสี่ยวเซียนต้องหนีล้มลุกคลุกคลานออกนอกเมืองไป เมื่อเสี่ยวเซียนหนีไปจะหลบอยู่อีกเมืองหนึ่ง ก็เกิดไปมีเรื่องกับสมุนอันธพาลเจ้าถิ่นเข้าอีก อาศัยที่เสี่ยวเซียนมีฝีมือพอตัว เพราะฝึกฝนกับอาจารย์มาไม่น้อย จึงเอาตัวเข้าสู้ได้ไม่ถอย แต่ทว่าเจ้าถิ่นที่ชื่อ หลิวซื่อซุ่ย (นำแสดงโดย สือชงเถียน) นั้นฝีมือมันเหลือรับ เสี่ยวเซียนแทบจะวางวายอยู่แล้ว ก็พอดีได้อีหนูจอมแก่นชื่อ จินเหลียน(นำแสดงโดย หลินเจิ้นฉี) มาช่วยเอาไว้
แต่ศึกเมื่อมันระเบิดขึ้นแล้ว มันจะยุติลงได้ทันทีทันควันนั้นอย่าหมาย เสี่ยวเซียนถูกติดตามกระหน่ำหนักจนสะบักสะบอม เพราะเหล่าร้ายฝีมือมันร้ายสมชื่อ ก็พอดีอาจารย์จื้อเฉียงติดตามมา พร้อมทั้งไหเหล้า และแนะนำกลเม็ดอาวุธลับที่จะเอาชนะพวกเหล่าร้ายให้ได้
ฉากสำคัญของ
“ไอ้เณรจอมคาถา” มีอยู่หลายตอนด้วยกัน ที่ทำเอาวงการบู๊ลิ้มต้องฮือลุกขึ้นยืนจากที่นั่งชม ที่มันย่องจนเซียนมวยต้องมองไม่กระพริบก็คือ ฉากไตเติ้ลหนัง ซึ่งหลิวเจียเหลียง-ครูมวยชื่อดังได้ขอแรงลูกศิษย์เอกในจอเงินสองคนคือ ตี้หลุง และเฉินกวนไถ้ มาสาธิตวิชาหนังเหนียวให้ชมกัน ฉากนี้ฉากเดียวก็คุ้มค่าเงินค่าดูสิบห้าบาทแล้ว
คอหนังที่หลากเข้าชม “ไอ้เณรจอมคาถา" เพราะตัวหมดเมื่อรอบมิดไนท์ ซึ่งฉายกันสองครั้งสองครามาแล้ว กรุณาอดใจคอยชมรอบปกติ ซึ่งจะเปิดฉายในเครือยูเนียนโอเดียนเร็วๆ นี้
=============================
***"ไอ้เณรจอมคาถา" ลงโปรแกรมฉายในเมืองไทย เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2519(1976)
***บทความจากนิตยสารโลกดารา ปีที่ 6 ฉบีบที่ 146 ปักษ์หลังของเดือนกุมภาพันธ์, 29 กุมภาพันธ์ 2519(1976)